สุขภาพที่ดีเริ่มต้นได้จากสิ่งเล็ก ๆ การเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับร่างกายก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อย Krill Oil อาจเป็นคำตอบที่คุณตามหา ด้วยคุณสมบัติที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 และสารต้านอนุมูลอิสระ Krill Oil จึงกลายเป็นที่นิยมอย่างมาก
พาส่อง Krill Oil กินทุกวันได้ไหม ทางเลือกสุขภาพคนยุคใหม่
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ Krill Oil กินทุกวันได้ไหม? คำตอบคือ ได้ค่ะ แต่ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมและคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น สุขภาพโดยรวมของตัวเอง หรือยาที่กำลังใช้อยู่ โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณที่แนะนำคือประมาณ 1-4 กรกรัมต่อวัน แต่ถ้าคุณมีโรคประจำตัวหรือกำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มกินนะคะ (2)
Krill Oil คือน้ำมันที่สกัดจากตัวคริลล์ (Krill)ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลขนาดเล็กคล้ายกุ้ง ซึ่งเป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะ EPA และ DHA ที่ช่วยบำรุงสมอง หัวใจ และลดการอักเสบในร่างกาย นอกจากนี้ Krill Oil ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายอีกด้วย (1)
ประโยชน์ของการกิน Krill Oil ทุกวัน
บำรุงสมองและระบบประสาท
กรดไขมันโอเมก้า-3 ใน Krill Oil ช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมอง และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางสมอง เช่น อัลไซเมอร์ (3)
ดีต่อสุขภาพหัวใจ
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) รวมถึงช่วยควบคุมความดันโลหิต (4)
ลดการอักเสบในร่างกาย
กรดไขมันโอเมก้า-3 และสารต้านอนุมูลอิสระใน Krill Oil ช่วยลดการอักเสบที่อาจนำไปสู่โรคเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบ (5)
บำรุงผิวพรรณ
ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และลดปัญหาผิวแห้งกร้าน (6)
ข้อควรระวังในการกิน Krill Oil
- ผลข้างเคียง: บางคนอาจมีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ท้องอืด คลื่นไส้ หรือมีกลิ่นปาก (7)
- การแพ้: หากคุณแพ้อาหารทะเล ควรระวังเพราะ Krill Oil สกัดจากสัตว์ทะเล (8)
- การกินร่วมกับยา: หากคุณกำลังใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือยารักษาโรคอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนกิน (9)
Fish Oil กับ Krill Oil ต่างกันยังไง
น้ำมันปลา และ น้ำมันคริลล์ ต่างก็เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่มีข้อแตกต่างกัน ดังนี้
แหล่งที่มา
น้ำมันปลาได้มาจากเนื้อปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ในขณะที่น้ำมันคริลล์ได้มาจากสัตว์ทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่งคือ คริลล์
รูปแบบของโอเมก้า 3
น้ำมันปลาประกอบด้วยโอเมก้า 3 ในรูปแบบไตรกลีเซอไรด์ ส่วนน้ำมันคริลล์ประกอบด้วยโอเมก้า 3 ในรูปแบบฟอสโฟลิพิด ซึ่งร่างกายดูดซึมได้ดีกว่า
สารต้านอนุมูลอิสระ
น้ำมันคริลล์มีสารแอสแทแซนธิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องโอเมก้า 3 ไม่ให้เสื่อสภาพ
กลิ่น
น้ำมันปลาอาจมีกลิ่นคาว แต่น้ำมันคริลล์ไม่มีกลิ่น
ราคา
น้ำมันคริลล์มักจะมีราคาสูงกว่าน้ำมันปลา
Krill คือตัวอะไร
คริลล์ คือสัตว์ทะเลขนาดเล็กคล้ายกุ้งชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ในมหาสมุทรทั่วโลก โดยเฉพาะในบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ คริลล์เป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อาหารในทะเล เพราะเป็นอาหารของสัตว์ทะเลขนาดใหญ่หลายชนิด เช่น วาฬ ปลา และนกทะเล นอกจากนี้ คริลล์ยังเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตน้ำมันคริลล์ ซึ่งเป็นอาหารเสริมที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ในรูปแบบฟอสโฟลิพิด ที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดี
Krill Oil ช่วยเรื่องขาวมั้ย?
น้ำมันคริลล์นั้นไม่ได้มีส่วนช่วยในการทำให้ผิวขาวโดยตรงค่ะ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดของการทานน้ำมันคริลล์คือการบำรุงสุขภาพผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื้น และลดการอักเสบ ซึ่งอาจส่งผลให้อาการผิวหมองคล้ำดูดีขึ้นในระยะยาว แต่การจะทำให้ผิวขาวขึ้นนั้นต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การหลีกเลี่ยงแสงแดด การบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และการพักผ่อนให้เพียงพอค่ะ
อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของ Krill Oil ได้ที่: Antarctic Krill Oil สรรพคุณ 9 อย่าง จากทะเลอาร์กติกสู่สุขภาพ
สรุป
Krill Oil เป็นอาหารเสริมที่ดีต่อสุขภาพและกินทุกวันได้ หากเลือกปริมาณที่เหมาะสมและคำนึงถึงข้อควรระวัง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การฟังร่างกายของตัวเอง และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มกิน เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดโดยไม่เสี่ยงต่อสุขภาพค่ะ
แหล่งอ้างอิง
- Healthline – What is Krill Oil?
- WebMD – Krill Oil Uses and Benefits
- NCBI – Omega-3 Fatty Acids and Brain Health
- American Heart Association – Omega-3 and Heart Health
- NCBI – Anti-inflammatory Effects of Omega-3
- DermNet NZ – Omega-3 and Skin Health
- Mayo Clinic – Krill Oil Side Effects
- Food Allergy Research & Education – Shellfish Allergy
- Drugs.com – Krill Oil Interactions