ในโลกของคนรักสุขภาพ คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ชาเขียว” และ “มัทฉะ” สองเครื่องดื่มยอดฮิตที่ครองใจผู้คนทั่วโลกด้วยสีเขียวสบายตาและคุณประโยชน์มากมาย แต่เคยสงสัยไหมคะว่าทั้งสองอย่างนี้เหมือนหรือต่างกันอย่างไร หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงแค่ชาเขียวที่นำมาบดผง แต่ความจริงแล้วเบื้องหลังของชาทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกันตั้งแต่การปลูกไปจนถึงแก้วที่เราดื่มเลยค่ะ
ไขข้อข้องใจ มัทฉะกับชาเขียว ต่างกันยังไง ? 8 ข้อ เพื่อสุขภาพ
หลายคนคงสงสัยไม่น้อยว่า มัทฉะกับชาเขียว ต่างกันยังไง เพราะแม้จะฟังดูคล้ายกัน แต่ความจริงแล้วมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันมากกว่าที่คิด ทั้งรสชาติ กลิ่น สี วิธีชง รวมไปถึงประโยชน์ต่อร่างกาย แล้วแบบไหนดีกว่ากัน? หรือเหมาะกับเรามากกว่ากัน? บทความนี้จะพาคุณค่อย ๆ ทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างมัทฉะกับชาเขียว แบบครบถ้วนพอให้คุณเลือกได้อย่างมั่นใจ ให้เหมาะไลฟ์สไตล์และความต้องการของเรามากที่สุด มาดูกันเลยค่ะ
1.การปลูก
ชาเขียวและมัทฉะมีวิธีการปลูกที่แตกต่างกัน โดยชาเขียวจะปลูกกลางแจ้งภายใต้แสงแดดตามปกติ ในขณะที่มัทฉะจะปลูกในร่มนานประมาณสามสัปดาห์ก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง การปลูกในร่มนี้ช่วยกระตุ้นให้ใบชาผลิตคลอโรฟิลล์มากขึ้น ส่งผลให้มัทฉะมีสีเขียวสดใส ในขณะที่ชาเขียวทั่วไปมักมีสีเขียวหม่นปนน้ำตาลเล็กน้อย
2. กระบวนการเก็บเกี่ยวและแปรรูปที่พิถีพิถันกว่า
ในขั้นตอนการเก็บเกี่ยว ใบชาเขียวทั่วไปมักถูกตัดด้วยเครื่องจักร แล้วนำส่งไปยังโรงงานแปรรูปทันทีเพื่อผ่านกระบวนการอบไอน้ำ ซึ่งช่วยหยุดกระบวนการหมักของใบชา จากนั้นจะนำไปเป่าให้แห้งด้วยเครื่องหมุนวน
สำหรับมัทฉะ ใบชาจะได้รับการเก็บเกี่ยวอย่างพิถีพิถันโดยการคัดเลือกเฉพาะใบอ่อนคุณภาพดีที่สุดจากต้น และเก็บด้วยมืออย่างประณีต หลังจากนั้นจะมีการตัดก้านและเส้นใบออก ก่อนนำใบชาไปบดด้วยหินจนกลายเป็นผงมัทฉะเนื้อละเอียด
3. รูปแบบและลักษณะทางกายภาพ
นี่คือความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดค่ะ ชาเขียวจะมาในรูปแบบของ ใบชาอบแห้ง ที่มีรูปร่างแตกต่างกันไปตามกรรมวิธีการนวด เช่น เป็นเส้นตรงเหมือนเข็ม หรือม้วนเป็นเกลียวเล็กๆ ในขณะที่มัทฉะจะอยู่ในรูปแบบของ ผงละเอียดสีเขียวสด ซึ่งเกิดจากการบดใบชาทั้งใบโดยไม่ผ่านการนวด ทำให้มัทฉะมีเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่มและมีสีที่เข้มข้นกว่ามาก
4. วิธีการชงและดื่มด่ำที่ไม่เหมือนกัน
เมื่อชงชาเขียว เราจะใช้วิธี “แช่” (Infusion) คือการนำใบชาไปแช่ในน้ำร้อน แล้วกรองใบชาออก ดื่มเฉพาะน้ำชาที่สกัดออกมา แต่สำหรับการดื่มมัทฉะ เราใช้วิธี “ละลาย” (Suspension) โดยการตักผงมัทฉะใส่ถ้วย เติมน้ำร้อน แล้วใช้แปรงไม้ไผ่ที่เรียกว่า “ฉะเซ็น” (Chasen) ตีจนผงมัทฉะละลายเข้ากับน้ำและเกิดฟองละเอียด นั่นหมายความว่า การดื่มมัทฉะคือการบริโภคใบชาเข้าไปทั้งใบ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราได้รับสารอาหารอย่างเต็มเปี่ยม
5. ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ EGCG
สารต้านอนุมูลอิสระคือพระเอกของชาเขียว โดยเฉพาะสารในกลุ่มคาเทชินที่ชื่อว่า EGCG (Epigallocatechin gallate) (2) ซึ่งมีส่วนช่วยในการปกป้องเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระ และเนื่องจากการดื่มมัทฉะคือการดื่มทั้งใบ จึงทำให้ร่างกายได้รับ EGCG ในปริมาณที่เข้มข้นกว่าการดื่มน้ำชาเขียวแบบแช่ใบอย่างมีนัยสำคัญ บางงานวิจัยพบว่ามัทฉะอาจมีปริมาณ EGCG มากกว่าชาเขียวทั่วไปถึง 3-10 เท่าเลยทีเดียว นี่จึงเป็นหนึ่งในประโยขน์ที่โดดเด่นของมัทฉะ
6. กรดอะมิโน L-Theanine เพื่อความสงบผ่อนคลาย
จำการคลุมผ้าให้ต้นชาได้ไหมคะ? กระบวนการนั้นเองที่ทำให้มัทฉะอุดมไปด้วย L-Theanine กรดอะมิโนชนิดพิเศษที่มีส่วนช่วยส่งเสริมการทำงานของคลื่นอัลฟาในสมอง ทำให้เกิดสภาวะ “ตื่นตัวแบบสงบ” (Calm Alertness) (2) คือมีสมาธิแต่ก็รู้สึกผ่อนคลลยไปด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากการดื่มกาแฟที่อาจทำให้ใจสั่นได้ แม้ชาเขียวทั่วไปจะมี L-Theanine อยู่บ้าง แต่มัทฉะมีในปริมาณที่สูงกว่ามากค่ะ
7. ปริมาณคาเฟอีน: ใครมากกว่ากัน?
เมื่อเราดื่มใบชาเข้าไปทั้งใบ แน่นอนว่าปริมาณคาเฟอีนที่ได้รับจากมัทฉะย่อมสูงกว่าชาเขียวแบบแช่ใบ โดยมัทฉะหนึ่งช้อนชา (ประมาณ 2 กรัม) อาจมีคาเฟอีนประมาณ 60-70 มิลลิกรัม เทียบกับชาเขียวหนึ่งแก้วที่มีประมาณ 20-30 มิลลิกรัม แต่ด้วยอิทธิพลของ L-Theanine ทำให้คาเฟอีนในมัทฉะค่อยๆ ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างช้าๆ จึงช่วยให้มีพลังงานอย่างสม่ำเสมอโดยไม่เกิดอาการใจสั่นหรือพลังงานตกฮวบในภายหลัง
8. รสชาติ
ชาเขียวส่วนใหญ่จะให้รสชาติที่ สดชื่น ดื่มง่าย อาจมีรสขมฝาดเล็กน้อย คล้ายพืชหรือหญ้าอ่อนๆ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และแหล่งปลูก ส่วนมัทฉะคุณภาพดีจะให้รสชาติที่ซับซ้อนกว่า มีความ เข้มข้น นุ่มนวล มีรสหวานตามธรรมชาติ และมีรสชาติเฉพาะตัวที่เรียกว่า “อูมามิ” (Umami) ซึ่งเป็นรสกลมกล่อมคล้ายสาหร่ายหรือถั่ว เนื้อสัมผัสก็จะมีความครีมมี่กว่าอย่างชัดเจน
เลือกดื่มอะไรให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ?
มาถึงตรงนี้ ทุกคนคงเห็นภาพชัดเจนแล้วว่า มัทฉะกับชาเขียว ต่างกันยังไง แม้จะมาจากต้นแม่เดียวกัน แต่ก็เหมือนพี่น้องคนละบุคลิก การจะเลือกดื่มอะไรนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณค่ะ
- เลือกชาเขียว: หากคุณต้องการเครื่องดื่มที่สดชื่น ดื่มง่ายในทุกๆ วัน มีคาเฟอีนไม่สูงมาก ชงสะดวก และมีราคาที่เป็นมิตรต่อกระเป๋า
- เลือกมัทฉะ: หากคุณต้องการคุณประโยชน์จากสารอาหารแบบเต็มๆ เน้นการส่งเสริมสมาธิและความผ่อนคลาย ต้องการพลังงานที่นิ่งและยาวนาน และชื่นชอบในรสชาติที่เข้มข้นกลมกล่อม
สรุป
ไม่ว่าจะเป็นมัทฉะหรือชาเขียว ต่างก็เป็นเครื่องดื่มที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกาย การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างตั้งแต่การปลูก การแปรรูป ไปจนถึงสารอาหารสำคัญ จะช่วยให้เราสามารถเลือกเครื่องดื่มที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพและไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้ดีที่สุด ครั้งต่อไปที่คุณจิบชา ลองสังเกตความแตกต่างเหล่านี้ดูนะคะ ไม่แน่ว่าคุณอาจจะตกหลุมรักชาแก้วนั้นมากยิ่งขึ้นก็ได้ค่ะ
อ่านบทความที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่: ไลฟ์สไตล์
แหล่งอ้างอิง
2.National Library of Medicine: ประโยชน์ต่อสุขภาพและองค์ประกอบทางเคมีของชาเขียวมัทฉะ: บทวิจารณ์
4.artoftea: ความแตกต่างระหว่างมัทฉะและชาเขียวคืออะไร
5.gaysornvillage: ไขข้อสงสัยเรื่องชา มัทฉะ กับ ชาเขียว ต่างกันอย่างไร