ในยุคที่ใครๆ ก็หันมาใส่ใจสุขภาพและความงามแบบองค์รวม ชื่อของ “แอสตาแซนธิน” (Astaxanthin) คงเป็นที่คุ้นหูของหลายๆ คนในฐานะสุดยอดสารอาหารจากธรรมชาติที่ได้รับฉายาว่าเป็น “ราชินีแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ” แต่เคยสงสัยไหมคะว่า แอสตาแซนธิน ช่วยอะไร ได้บ้าง และทำไมถึงได้รับการยอมรับมากขนาดนี้ ในบทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสารสีแดงทรงพลังชนิดนี้ให้มากขึ้นกันค่ะ
แอสตาแซนธิน ช่วยอะไร ได้บ้าง?
แอสตาแซนธิน ช่วยอะไร เจ้าตัวนี้มีสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ที่พบได้ตามธรรมชาติในสิ่งมีชีวิตบางชนิด เช่น สาหร่ายสีแดง ฮีมาโตค็อกคัส พลูวิเอลิส (Haematococcus pluvialis), ปลาแซลมอน, กุ้ง, และล็อบสเตอร์ ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของสีชมพู-แดงในสัตว์เหล่านั้น ด้วยโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้มันมีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่โดดเด่นกว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าคุณประโยชน์ที่น่าสนใจของแอสตาแซนธินนั้นมีอะไรบ้าง
1. ส่งเสริมสุขภาพผิว ชะลอการเกิดริ้วรอย
หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของแอสตาแซนธินคือการดูแลสุขภาพผิวพรรณค่ะ ด้วยความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง จึงช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลายโดยปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะรังสียูวีในแสงแดด (1) ซึ่งเป็นตัวการหลักของการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ฝ้า กระ และจุดด่างดำ งานวิจัยพบว่า การทานแอสตาแซนธินในปริมาณ 6 มิลลิกรัมต่อวัน ต่อเนื่องเป็นเวลา 6–8 สัปดาห์ อาจช่วยลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ และการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิว นอกจากนี้ แอสตาแซนธินยังอาจช่วยเสริมสภาพผิวและเพิ่มความยืดหยุ่นได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ทาภายนอก (2)
2. สนับสนุนการทำงานของดวงตา
สำหรับใครที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ อาจเคยประสบกับภาวะตาล้า ตาแห้ง หรือปวดตา แอสตาแซนธินอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลสุขภาพดวงตาค่ะ เพราะเจ้าตัวนี้ช่วยบรรเทาอาการตาแห้งเล็กน้อยถึงปานกลางได้ ตาแห้งทำให้เกิดการอักเสบและลดปริมาณฟิล์มน้ำตา (ชั้นของเหลวชั้นนอกบางๆ ที่ปกป้องดวงตาจากการติดเชื้อและสิ่งระคายเคือง เช่น สิ่งสกปรก ที่สำคัญแอสตาแซนธินมีบทบาทในการซ่อมแซมเซลล์ของชั้นป้องกันดวงตา เช่น กระจกตา ช่วยปรับปรุงเสถียรภาพของฟิล์มน้ำตา และสนับสนุนการทำงานของต่อมไมโบเมียน ซึ่งเป็นต่อมที่ผลิตน้ำมันสำคัญสำหรับคงความชุ่มชื้นของน้ำตาด้วยค่ะ (2)
3. เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเป็นเกราะป้องกันด่านแรกของร่างการในการต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม แอสตาแซนธินมีบทบาทในการช่วยปรับสมดุลและส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยช่วยสนับสนุนการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ และลดภาวะการอักเสบในระดับเซลล์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาวค่ะ แอสตาแซนธินมีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันสำคัญอย่างเซลล์เม็ดเลือดขาว (T-cells) และเซลล์เพชฌฆาต (NK cells) (1)
*เซลล์ T ทำหน้าที่ตรวจจับและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย โดยอาศัยการจดจำแอนติเจนที่อยู่บนผิวของเซลล์เหล่านั้น
*เซลล์ NK มีความสามารถในการตอบสนองได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการจดจำแอนติเจน ทำให้สามารถควบคุมและยับยั้งการติดเชื้อหรือความผิดปกติของเซลล์ได้อย่างทันท่วงที ในภาวะปกติจะพบอยู่ที่ประมาณ 10-15%
4. ช่วยลดการอักเสบ
นอกจากบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันแล้ว แอสตาแซนธินยังอาจมีส่วนช่วยลดการอักเสบในร่างกายอีกด้วย โดยเม็ดสีธรรมชาตินี้จะทำงานร่วมกับอนุมูลอิสระ (Reactive Oxygen Species) เพื่อลดระดับของโปรตีนบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับภาวะอักเสบ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคเรื้อรังหลายประเภท เช่น โรคซีลิแอค โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน (1)
5. สนับสนุนสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
สุขภาพหัวใจเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม แอสตาแซนธินมีส่วนช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือดผ่านหลายกลไกค่ะ แคโรทีนอยด์ชนิดนี้สามารถช่วยลด LDLหรือคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี และสามารถเพิ่ม HDL หรือคอเลสเตอรอลชนิดดีได้ ขณะเดียวกันก็ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ด้วย (1)
6. ดูแลสุขภาพสมองและระบบประสาท
เช่นเดียวกับดวงตา แอสตาแซนธินสามารถเดินทางผ่านแนวกั้นเลือดและสมอง (Blood-brain barrier) เข้าไปทำงานในระบบประสาทส่วนกลางได้โดยตรง คุณสมบัตินี้ทำให้มันมีศักยภาพในการช่วยปกป้องเซลล์สมองจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของภาวะที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของสมองตามวัย และส่งเสริมการทำงานด้านความจำและการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น (2),(3)
7. เสริมสุขภาพทางเพศและภาวะเจริญพันธุ์ในเพศชาย
มีงานวิจัยที่น่าสนใจจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกนต์ (Ghent University Hospital) ซึ่งพบว่าแอสตาแซนธินอาจมีบทบาทที่ดีต่อภาวะเจริญพันธุ์ในเพศชาย โดยในการศึกษาขนาดเล็กพบว่า แอสตาแซนธินสามารถช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของเซลล์อสุจิ รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการปฏิสนธิกับไข่ได้ดีขึ้น (4)
แอสตาแซนธิน กินตอนไหนดีที่สุด และควรกินคู่กับอะไร?
เพื่อให้ร่างกายนำแอสตาแซนธินไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ การเลือกเวลาและวิธีทานก็มีความสำคัญไม่แพ้กันค่ะ เนื่องจาก แอสตาแซนธินเป็นสารที่ละลายได้ดีในไขมัน (Fat-soluble) ดังนั้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการทานคือ พร้อมมื้ออาหาร หรือหลังอาหารทันที โดยเฉพาะมื้อที่มีไขมันดีเป็นส่วนประกอบค่ะ (5)
ข้อควรระวังของแอสตาแซนธิน
โดยทั่วไปแล้ว แอสตาแซนธินที่ได้จากแหล่งธรรมชาติถือว่ามีความปลอดภัยสูงและไม่ค่อยพบผลข้างเคียงที่รุนแรงเมื่อทานในปริมาณที่แนะนำ อย่างไรก็ตาม การทานในปริมาณที่สูงมากๆ อาจทำให้สีของอุจจาระเปลี่ยนเป็นสีแดงได้ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สำหรับ ข้อควรระวัง หรือ “แอสต้าแซนทีน ไม่เหมาะกับใคร” นั้น กลุ่มที่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทาน (1) ได้แก่
- สตรีมีครรภ์และคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล โดยเฉพาะ กุ้ง ปู หรือสัตว์ทะเลที่มีเปลือกสีแดง
- ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำ หรือกำลังทานยาที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิต
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ หรือกำลังทานยาเพื่อควบคุมอาการบางอย่าง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอเพื่อความปลอดภัย
*หากรับประทานในปริมาณมากเกินไป (48 มก. ต่อวัน) อุจจาระอาจมีสีแดงเนื่องจากมีเม็ดสีแดงของแอสตาแซนธิน (5)
สรุป
แอสตาแซนธิน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังจากธรรมชาติที่มอบประโยชน์ต่อสุขภาพในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมสุขภาพผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์ ปกป้องดวงตาจากการใช้งานหนัก สนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกาย ไปจนถึงการดูแลสุขภาพหัวใจและสมอง ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่แอสตาแซนธินจะได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ” และกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ใส่ใจในการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันอย่างแท้จริง
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่: Astaxanthin
แหล่งอ้างอิง
1.Webmd: 5 ประโยชน์ต่อสุขภาพของแอสตาแซนธิน
2.health: 5 ประโยชน์ต่อสุขภาพของแอสตาแซนธิน
3.verywellhealth: แอสตาแซนธิน: ทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้
4.Dr.axe: ประโยชน์ของแอสตาแซนธินต่อผิวหนัง สมอง หัวใจ และกล้ามเนื้อ