เคล็ดลับโกงอายุ กินอะไร หน้าเด็ก รวมอาหาร 8 อย่างที่ต้องรู้

เคล็ดลับโกงอายุ กินอะไร หน้าเด็ก รวมอาหาร 8 อย่างที่ต้องรู้

ใครๆ ก็อยากมีผิวพรรณที่ดูอ่อนเยาว์ สดใส และดูเด็กกว่าวัยด้วยกันทั้งนั้นใช่ไหมคะ? หลายคนอาจนึกถึงสกินแคร์ราคาแพงหรือหัตถการต่างๆ แต่ทราบไหมคะว่า “อาหาร” ที่เราเลือกทานในแต่ละวัน คือกุญแจสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก การเลือกกินของที่มีประโยชน์เปรียบเสมือนการมอบของขวัญให้ผิวโดยตรง ในบทความนี้ จะพาทุกคนไปดูกันว่า กินอะไรหน้าเด็ก ได้บ้าง เพื่อเป็นแนวทางในการชะลอวัยให้ผิวสวยสุขภาพดีไปนานๆ ค่ะ

8 สุดยอดของ กินอะไร หน้าเด็ก ชะลอวัยจากภายใน

จุดเริ่มต้นของการมีผิวที่ดูอ่อนเยาว์นั้น มาจากการเลือกทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อผิว การรู้ว่าควร กินอะไร หน้าเด็ก จะช่วยให้เราวางแผนมื้ออาหารแต่ละวันได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ เชื่อมั้ยคะว่าปัญหาผิวหน้าส่วนใหญ่บ่อยครั้งเป็น “สัญญาณขอความช่วยเหลือ” จากลำไส้ ตับ หรือระบบฮอร์โมน ถ้ากินอาหารไม่ดีซ้ำ ๆ ต่อให้สกินแคร์ดีแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้ากินถูกต้อง ผิวก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง แถมสีหน้าดูสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในบทความนี้จึงรวบรวมอาหารดี ๆ ช่วยบำรุงผิว ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษเพื่อช่วยให้ผิวสวยและดูสุขภาพดีมาฝากกันค่ะ

1.กลุ่มปลาที่มีไขมันดี 

ปลาอย่างแซลมอน, แมคเคอเรล และทูน่า เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า 3 ชั้นเยี่ยม ซึ่งมีส่วนช่วยสำคัญในการรักษาความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว ทั้งยังช่วยบรรเทาการอักเสบที่อาจนำไปสู่ปัญหาผิวต่างๆ ได้อีกด้วยค่ะ  (1)

2.บลูเบอร์รี่ 

บลูเบอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินเอและซี รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าแอนโธไซยานินซึ่งช่วยต่อต้านวัย ซึ่งทำให้บลูเบอร์รี่มีสีน้ำเงินเข้ม สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพเหล่านี้อาจช่วยปกป้องผิวของคุณจากความเสียหายจากแสงแดด ความเครียด และมลภาวะ โดยการควบคุมการตอบสนองการอักเสบของร่างกายและป้องกันการสูญเสียคอลลาเจนได้นั่นเองค่ะ (2)

3.”แอสตาแซนธิน” (Astaxanthin) 

แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) คือราชินีแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในสิ่งมีชีวิตสีแดงเช่น ปลาแซลมอน, เนื้อปู, เปลือกกุ้ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาหร่ายสีแดง Haematococcus pluvialis ร่างกายเราไม่สามารถผลิต Astaxanthin ได้เอง ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น มีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าแอสตาแซนธินเป็น สารต้านอนุมุลอิสระ ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีและวิตามินอีหลายเท่าตัว มีส่วนช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากรังสี UV และสนับสนุนความยืดหยุ่นของผิวได้อย่างน่าทึ่ง (3) (5)

 

4.อะโวคาโด

ผลไม้ที่อัดแน่นไปด้วยไขมันดี, วิตามินอี และวิตามินซี ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อช่วยปกป้องผิวจากภาวะเครียดจากออกซิเดชัน (Oxidative Stress) และช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้น เนียนนุ่มน่าสัมผัส (1) นอกจากนี้ วิตามินเอในอะโวคาโดมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้ผิวของคุณเปล่งปลั่ง แคโรทีนอยด์ในอะโวคาโดยังช่วยป้องกันสารพิษและปกป้องผิวจากแสงแดดได้เช่นกันค่ะ (2)

5.ผักใบเขียวเข้ม 

คะน้า, ปวยเล้ง, และผักเคล อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิด นออกจากนี้ ผักใบเขียวยังมีคลอโรฟิลล์ ซึ่งช่วยทำความสะอาดร่างกายและทำให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้น (1)

6.เต้าหู้และอาหารจากถั่วเหลือง

เพื่อฟื้นฟูผิวที่ดูอ่อนล้าและเริ่มหย่อนคล้อย การเติมอาหารจากถั่วเหลืองอย่างเต้าหู้ลงในมื้ออาหารเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ งานวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานอะกลีโคนปริมาณ 40 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเป็นสารไอโซฟลาโวนธรรมชาติในถั่วเหลือง มีผิวที่ริ้วรอยจางลงและเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน 12 สัปดาห์ (4)

7.น้ำ 

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้ผิวดูอิ่มเอิบและเต่งตึง ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า “สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวดูเหนื่อยล้าและหย่อนคล้อยคือภาวะขาดน้ำ” และการรักษาความชุ่มชื้นในผิวเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสดชื่นขึ้นได้ (4)

8.ไข่

ไข่แดง ที่มีปริมาณไบโอตินสูง ซึ่งเจ้าไบโอติน (Biotin) หรือที่รู้จักในชื่อ วิตามินบี 7 คือหนึ่งในสมาชิกสำคัญของตระกูลวิตามินบี ซึ่งเป็นกลุ่มวิตามินที่ละลายในน้ำและ มีบทบาทในการช่วยบำรุงเซลล์ผิวให้แข็งแรงและสุขภาพดี ผิวที่แข็งแรง ชุ่มชื้น และไม่แห้งลอกจะดูสดใส นอกจากนี้ไบโอตินเป็นที่รู้จักดีในฐานะวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนหลักที่ประกอบเป็นเส้นผม การได้รับไบโอตินที่เพียงพอจึงช่วยลดปัญหาผมขาดร่วงและทำให้ผมมีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งการมีเส้นผมที่หนา เงางาม และแข็งแรงถือเป็นสัญญาณของความอ่อนเยาว์ 

กินวิตามินอะไร กินแล้วหน้าเด็ก?

นอกเหนือจากอาหารแล้ว ที่หลายคนสงวัยว่า กินอะไร หน้าเด็ก แล้ว อีกหนึ่งคำถามยอดฮิตไม่แพ้กันเลย คือ วิตามินตัวไหน ที่ควรเน้นเป็นพิเศษ คำตอบคือกลุ่มวิตามินที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและสนับสนุนการสร้างคอลลาเจน ได้แก่ (6)

  • วิตามินซี: จำเป็นต่อกระบวนการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวเต่งตึงและลดเลือนริ้วรอย ช่วยปกป้องคุณจากอนุมูลอิสระและอาจช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งผิวหนังได้
  • วิตามินอี: เป็นทั้งสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบทำงานร่วมกับวิตามินซีในการปกป้องเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระ และช่วยเสริมสร้างผนังเซลล์
  • วิตามินเอ: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงอาจช่วยปกป้องผิวของคุณจากการถูกแดด รวมถึงช่วยให้ต่อมไขมันรอบรูขุมขนทำงาน และอาจช่วยให้แผลและรอยถลอกหายเร็วขึ้น
  • สังกะสี: สังกะสีช่วยให้ผิวหนังของคุณฟื้นตัวหลังจากได้รับบาดเจ็บ หากได้รับสังกะสีน้อยเกินไปอาจทำให้เกิดอาการกลากได้

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลผิวให้ดูอ่อนเยาว์

ทำยังไงให้หน้าดูเด็กนอกจากการกิน? 

นอกจากการกินแล้ว การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ, การจัดการความเครียด, การดื่มน้ำมากๆ, การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และที่สำคัญที่สุดคือการทาครีมกันแดดทุกวัน ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพผิวอย่างมากค่ะ ส่วนหัตถการต่างๆ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม

กินอะไรให้หายโทรม? 

เน้นอาหารที่ให้พลังงานและสารอาหารสูง เช่น กล้วย, ข้าวกล้อง, โปรตีนต่างๆ และดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อคืนความชุ่มชื้นให้กัยผิวและร่างกาย การเสริมด้วยวิตามินบีรวมก็สามารถช่วยเรื่องความอ่อนเพลียได้เช่นกัน

สรุป

การจะดูมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์และสดใสนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกเพียงอย่างเดียว การเลือก กินอะไรหน้าเด็ก ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดจากการดูแลภายใน การทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง แอสตาแซนธิน จากปลาแซลมอน, วิตามินจากผักผลไม้หลากสี, ไขมันดีจากปลาและอะโวคาโด รวมถึงโปรตีนคุณภาพดีอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยสนับสนุนให้ผิวแข็งแรง ต่อสู้กับสัญญาณแห่งวัย และคงความเปล่งปลั่งสดใสจากภายในสู่ภายนอกได้อย่างยั่งยืน

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่: Astaxanthin

 

แหล่งอ้างอิง

1.timesofindia: กินอาหาร 5 อย่างนี้ทุกวันเพื่อคงความอ่อนเยาว์

2.VINMEC HEALTHCARE SYSTEM : 10 ประเภทอาหารต้านวัยสำหรับคนอายุ 40 ปีขึ้นไป

3.National Library of Medicine:ประโยชน์ด้านเครื่องสำอางของแอสตาแซนธินต่อมนุษย์

4.kormedi.com: ดูอ่อนกว่าวัย: อาหารที่ดีกับอาหารที่ไม่ดี

5.weekly.chosun.com: ฉันควรทานอาหารอะไรเพื่อให้ผิวของฉันดูอ่อนเยาว์?

6.Webmd: สารอาหารเพื่อผิวสุขภาพดี

 

*บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการให้คำแนะนำทางการแพทย์, การวินิจฉัย, หรือการรักษา หากมีข้อกังวลหรือคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเสมอ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความอื่นๆ