อาการท้องผูกเป็นภาวะที่สร้างความอึดอัดและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกแน่นท้อง ไม่สบายตัว ไปจนถึงความเจ็บปวดขณะขับถ่าย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินถือเป็นหนึ่งในวิธีแรกๆ ที่สามารถช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้ วันนี้จะพามาดูกันว่า เมื่อมีอาการ ท้องผูก ไม่ควรกินอะไร บ้าง เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายของคุณกลับมาทำงานได้ดีขึ้น
ท้องผูก ไม่ควรกินอะไร: เช็กลิสต์อาหารที่อาจเป็นสาเหตุ
สำหรับใครที่กำลังเผชิญกับปัญหาท้องผูกอยู่บ่อยๆ การทำความเข้าใจว่า ท้องผูก ไม่ควรกินอะไร ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะอาหารบางชนิดอาจเข้าไปทำให้การทำงานของลำไส้ช้าลง หรือทำให้อุจจาระแข็งและแห้งจนขับถ่ายได้ยากขึ้น ลองมาตรวจสอบกันค่ะว่าอาหารอะไรที่ควรเลี่ยงบ้าง
1.อาหารแปรรูปและอาหารแช่แข็ง
อาหารจานด่วน, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, ไส้กรอก, หรืออาหารแช่แข็งต่างๆ มักมีใยอาหารในปริมาณที่ต่ำมาก แต่กลับเต็มไปด้วยไขมันและโซเดียมสูง ไขมันจะทำให้กระบวนการย่อยอาหารช้าลง ในขณะที่การขาดใยอาหารทำให้อุจจาระไม่มีมวลมากพอที่จะกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวเพื่อขับถ่ายออกมาได้ตามปกติ (2)
2.ผลิตภัณฑ์จากนม (Dairy Products)
แม้ว่านมและผลิตภัณท์จากนมอย่างชีสจะเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี แต่สำหรับบางคน การบริโภคในปริมาณมากอาจส่งผลให้ท้องผูกได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะย่อยน้ำตาลแลคโตสบกพร่อง ซึ่งอาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะและส่งผลต่อการเคลื่อนตัวของลำไส้ได้ นอกจากนี้ โปรตีนเคซีนในชีสบางชนิดก็อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การย่อยช้าลงค่ะ (1)
3.เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง
เนื้อวัวหรือเนื้อหมูติดมันเป็นอาหารอีกกลุ่มที่ควรระมัดระวัง เพราะเนื้อแดงมีปริมาณไขมันสูงและแทบไม่มีใยอาหารเลย ทำให้ร่างกายใช้เวลาย่อยนานกว่าอาหารประเภทอื่น นอกจากนี้ ธาตุเหล็กในเนื้อแดงซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่น ก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อาการท้องผูกแย่ลงได้สำหรับบางคน (1) (3)
4.อาหารน้ำตาลสูง
สำหรับคนที่ท้องผูก การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงและมีใยอาหารต่ำเป็นสิ่งสำคัญ เพราะอาหารเหล่านี้อาจทำให้อาการแย่ลงได้ ตัวอย่างอาหารที่คุณควรเลี่ยง ได้แก่ เค้ก, คุกกี้, ช็อกโกแลต, ลูกอมแข็ง, แยม, ขนมอบพาย และขนมอื่นๆ ที่มีน้ำตาลทรายขาวล้วนมีไฟเบอร์และของเหลวต่ำ และมีไขมันสูง (3) (1)
5.กล้วยดิบ
เป็นเรื่องน่าแปลกที่ผลไม้ชนิดเดียวกันแต่มีความสุกต่างกันจะให้ผลลัพธ์ที่ตรงข้าม กล้วยสุกถือเป็นผลไม้ที่ช่วยเรื่องการขับถ่าย แต่กล้วยดิบหรือกล้วยห่ามกลับมีสารแทนนินและแป้งที่ทนต่อการย่อยในปริมาณสูง ซึ่งสารเหล่านี้อาจทำให้ลำไส้ทำงานช้าลงและส่งผลให้ท้องผูกได้ (2)
6.ของทอดและอาหารมัน
อาหารทอดๆ มันๆ ไม่ว่าจะเป็นไก่ทอด, เฟรนช์ฟรายส์, หรือโดนัท ล้วนมีไขมันสูง ซึ่งไขมันเป็นสารอาหารที่ใช้เวลาย่อยนานที่สุด การบริโภคอาหารไขมันสูงจึงอาจชะลอการทำงานของระบบย่อยอาหารโดยรวม ทำให้กากอาหารค้างอยู่ในลำไส้นานขึ้นและเกิดอาการท้องผูกตามมา (2)
7.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำได้ง่าย เมื่อร่างกายขาดน้ำ ลำไส้จะพยายามดูดซึมน้ำกลับจากกากอาหารให้ได้มากที่สุด ส่งผลให้อุจจาระแห้ง แข็ง และขับถ่ายออกมาได้ลำบากยิ่งขึ้น (1)
ไม่ถ่ายกี่วันถึงเรียกว่าท้องผูก และเมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
โดยปกติแล้ว อาการท้องผูกมักไม่ใช่เรื่องน่ากังวลและสามารถดูแลได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่บ้าน แต่ในบางครั้ง อาจเป็นสัญญาณบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ต้องใส่ใจมากขึ้น เช่น โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) หรือภาวะลำไส้อุดตัน หากลองดูแลตัวเองแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการร่วมอย่างอุจจาระปนเลือดหรือมีเลือดออกทางทวารหนัก มีไข้ ไม่สามารถผายลมได้ ปวดหลังส่วนล่าง ปวดท้องรุนแรง น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือมีอาการอาเจียน เพราะอาการเหล่านี้อาจบอกได้ว่าร่างกายกำลังต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญ (3)
วิธีแก้ท้องผูกง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรม
นอกจากการหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจเป็นสาเหตุแล้ว การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันก็เป็นอีกหนึ่ง วิธีแก้ท้องผูกง่ายๆ ที่ได้ผลดีและช่วยส่งเสริมสุขภาพการขับถ่ายในระยะยาวได้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: น้ำคือส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้อุจจาระนิ่มและเคลื่อนตัวได้ง่าย ควรดื่มน้ำเปล่าให้ได้ประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน)
- เพิ่มการเคลื่อนไหว: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว, วิ่ง, หรือโยคะ จะช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
- อย่ากลั้นอุจจาระ: เมื่อรู้สึกปวดถ่าย ควรเข้าห้องน้ำทันที การกลั้นอุจจาระบ่อยๆ จะทำให้สัญญาณการขับถ่ายของร่างกายอ่อนแอลง และทำให้อุจจาระสะสมจนแข็งและขับถ่ายยากขึ้น (3)
- กินอาหารที่มีใยอาหารสูง: การเน้นกินผัก, ผลไม้, และธัญพืชไม่ขัดสี จะช่วยเพิ่ม ปริมาร กากใยในลำไส้ ทำให้อุจจาระมีมวล นุ่ม และขับถ่ายง่ายขึ้น ผลไม้ที่ขึ้นชื่อว่ามีกากใยสูงและช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ดี ได้แก่ มะละกอ, ลูกพรุน, กีวี, และแก้วมังกร
การดูแลระบบขับถ่ายให้เป็นปกติเป็นส่วนสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี การทำความเข้าใจว่า ท้องผูก ไม่ควรกินอะไร และใส่ใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินควบคู่ไปกับการดูแลตัวเองในด้านอื่นๆ จะช่วยสนับสนุนให้ลำไส้ของคุณทำงานได้อย่างสมดุลและลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่อาจตามมาได้ค่ะ
สรุป
อาการท้องผูกสามารถบรรเทาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนอาหารที่ทาน โดยควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีใยอาหารต่ำและไขมันสูง เช่น อาหารแปรรูป, เนื้อแดง, และของทอด รวมถึงผลิตภัณฑ์นมสำหรับบางคน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาหารเหล่านี้อาจทำให้การทำงานของลำไส้ช้าลงและอุจจาระแข็งขึ้น การหันมาบริโภคอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นแนวทางสำคัญในการดูแลและสนับสนุนระบบขับถ่ายให้ทำงานเป็นปกติ
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่: ระบบขับถ่าย
แหล่งอ้างอิง
1.Webmd: อาหารที่แย่ที่สุดสำหรับอาการท้องผูก
2.everydayhealth: 7 อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อบรรเทาอาการท้องผูก
3.health.com: 6 อาหารยอดนิยมที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อคุณมีอาการท้องผูก