ในยุคที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “อาการอ่อนเพลีย” กลายเป็นเพื่อนที่ไม่ได้รับเชิญของใครหลายคน ความรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง ทั้งๆ ที่เพิ่งตื่นนอน อาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายและจิตใจของเรากำลังต้องการการดูแลที่มากขึ้น นอกจากการพักผ่อนให้เพียงพอและทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว การมองหาตัวช่วยจากธรรมชาติอย่าง สมุนไพร แก้อาการอ่อนเพลีย ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในการช่วยฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาสดใสอีกครั้ง
สมุนไพรแก้อาการอ่อนเพลีย คืนความสดใสให้ร่างกาย
ภาวะอ่อนเพลียสะสมไม่ได้ส่งผลกระทบแค่กับร่างกาย แต่ยังบั่นทอนพลังใจและประสิทธิภาพในการทำงานด้วย การหันมาใช้ สมุนไพรแก้อาการอ่อนเพลีย ที่มีประวัติการใช้มาอย่างยาวนาน อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการดูแลตัวเองแบบองค์รวม สมุนไพรเหล่านี้มักทำงานโดยการเข้าไปช่วยปรับสมดุลของร่างกาย สนับสนุนการทำงานของต่อมหมวกไต และเสริมสร้างพลังงานในระดับเซลล์ มาดูกันค่ะว่ามีสมุนไพรอะไรบ้างที่น่าสนใจ
1. โสม (Ginseng)
ราชาแห่งสมุนไพรที่ถูกใช้ในตำรับยาแผนโบราณมานานนับพันปีได้รับการยกย่องว่าเป็น “ราชาแห่งสมุนไพร” มีคุณสมบัติในการบำรุงพลังชี่ บำรุงม้าม และเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย โสมทั้งเอเชียและอเมริกันถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายเพื่อเพิ่มพลังและต่อสู้กับความเหนื่อยล้า (2) การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าสรรพคุณในการส่งเสริมอายุยืนของโสมอาจเกิดจากส่วนประกอบบางชนิดของโสม ได้แก่ โพลีแซ็กคาไรด์และโอลิโกเปปไทด์ซึ่งทราบกันดีว่าช่วยเพิ่มการผลิตพลังงานในเซลล์ แต่ไม่ควรทานโสมเกินสี่เดือนนะคะ เนื่องจากโสมมีฤทธิ์กระตุ้นและอาจทำให้อาการนอนไม่หลับแย่ลง (1)
2. กระเพรา (Holy Basil)
กระเพราหรือที่เรียกว่า “ทุลซี (Tulsi)” ได้รับการขนานนามว่าเป็น “น้ำทิพย์แห่งชีวิต” เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความทนทานของร่างกายและช่วยรับมือกับความเครียดได้ มีการนำมาใช้ในหลายรูปแบบ ทั้งทำเป็นชา สารสกัด หรือเป็นส่วนผสมในอาหารเสริมที่ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็น Adaptogen ที่ช่วยให้จิตใจสมดุลและฟื้นตัวได้ดีขึ้น นอกจากนี้ งานวิจัยบางชิ้นยังชี้ให้เห็นว่า กระเพราอาจช่วยปกป้องร่างกายจากปัจจัยความเครียดจากสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษและโลหะหนัก รวมถึงความเครียดทางกายภาพที่เกิดจากการออกแรงเป็นเวลานาน (2)
3. โกจิเบอร์รี (Goji Berry)
โกจิเบอร์รี (Goji Berry) หรือที่รู้จักในชื่อภาษาจีนว่า “枸杞子” เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รีที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงและฟื้นฟูสุขภาพโดยรวม ในตำราการแพทย์แผนจีนโบราณเชื่อว่า โกจิเบอร์รีมีสรรพคุณในการ บำรุงตับและไต ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย การทำงานของตับและไตที่ดียังส่งผลโดยตรงต่อการฟื้นฟูร่างกายและช่วยเพิ่มพลังงาน นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติเด่นในการ บำรุงสายตา ช่วยให้ดวงตาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและชะลอความเสื่อมของดวงตา (2)
4. เห็ดถั่งเช่า (Cordyceps)
เห็ดถั่งเช่าเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสมุนไพรบำรุงกำลัง มันทำงานโดยการช่วยเพิ่มการผลิตโมเลกุล ATP (Adenosine Triphosphate) ซึ่งเปรียบเสมือน “สกุลเงินพลังงาน” ของเซลล์ในร่างกาย เมื่อเซลล์มี ATP เพียงพอ ร่างกายก็จะนำพลังงานไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ออกซิเจนในร่างกาย ทำให้นักกีฬาหลายคนนิยมใช้เพื่อเพิ่มความทนทานในการออกกำลังกาย (4)
5. เปปเปอร์มินต์ (Peppermint)
ด้วยกลิ่นที่หอมสดชื่นและคุณสมบัติในการปลุกความกระปรี้กระเปร่า เปปเปอร์มินต์ จึงเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่าช่วยยกระดับประสาทสัมผัสและเสริมสร้างความแจ่มใสให้กับจิตใจได้อย่างดีเยี่ยม เป็นตัวเลือกที่ยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการความตื่นตัวอย่างรวดเร็ว หรือมองหาวิธีช่วยขจัดความมึนงงทางความคิด เพื่อ ปรับปรุงสมาธิ และ เพิ่มความชัดเจนทางความคิด (4)
6. ใบแปะก๊วย (Ginkgo Biloba)
หากอาการอ่อนเพลียของคุณมาพร้อมกับความรู้สึกสมองตื้อ คิดอะไรไม่ค่อยออก ใบแปะก๊วยอาจเป็นคำตอบ สมุนไพรชนิดนี้เป็นที่นิยมในการช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด โดยเฉพาะเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เมื่อสมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารอย่างเพียงพอ ก็จะช่วยให้รู้สึกตื่นตัว มีสมาธิ และลดความเหนื่อยล้าทางสมองได้ (4)
7.กระเทียม (Galic)
มีงานวิจัยมากกว่า 3,000 ชิ้นในอดีตที่ยืนยันว่ากระเทียมมีประโยชน์ต่อสุขภาพและสามารถใช้ป้องกันหรือบรรเทาโรคหลายชนิดได้ รวมถึงการนำมาใช้ตามภูมิปัญญาดั้งเดิม หนึ่งในสรรพคุณที่น่าสนใจคือ “ช่วยลดอาการอ่อนเพลีย” แม้ว่านักวิจัยยังไม่ทราบกลไกที่แน่ชัด แต่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางชีวภาพและเภสัชวิทยาของกระเทียมหลายด้าน
มีการทดลองในสัตว์ที่พบว่า กระเทียมช่วยเพิ่มความทนทานในการออกกำลังกาย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่ว่ากระเทียมอาจช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการแปรรูปกระเทียมมีผลต่อประสิทธิภาพด้วย โดยวิธีที่ให้ผลดีที่สุดคือการนำกระเทียมสดมาสกัด แล้วบ่มตามธรรมชาติด้วยน้ำและเอทานอลเป็นเวลานาน
ในงานวิจัยกับคนจริง ๆ ก็พบว่า กระเทียมช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความเหนื่อยล้าทางร่างกาย อาการหมดแรงจากความหนาวเย็น หรืออ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ ล่าสุดในญี่ปุ่นยังมีความพยายามใช้ “ไบโอมาร์กเกอร์” เพื่อวัดระดับความเหนื่อยล้าเชิงปริมาณอย่างเป็นรูปธรรม
สรุปคือ หลักฐานที่มีอยู่ชี้ให้เห็นว่า “กระเทียมมีศักยภาพที่จะเป็นสารต้านความเหนื่อยล้า” ที่น่าสนใจมาก และยังควรมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประโยชน์และวิธีใช้ที่เหมาะสมต่อไป (5)
ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ควรกินอะไรเสริม?
นอกจากการใช้สมุนไพรแล้ว การปรับโภชนาการก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หากรู้สึกอ่อนเพลีย ควรเน้นทานอาหารที่ให้พลังงานอย่างสม่ำเสมอและมีสารอาหารครบถ้วน เช่น
- คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน: ข้าวกล้อง, ขนมปังโฮลวีต, ควินัว จะค่อยๆ ปล่อยพลังงานออกมา ทำให้ไม่รู้สึกโหยหรือหมดแรงระหว่างวัน
- โปรตีนคุณภาพดี: ไข่, เนื้อปลา, อกไก่, ถั่วต่างๆ ช่วยซ่อมแซมร่างกายและทำให้รู้สึกอิ่มนาน
- ไขมันดี: อะโวคาโด, น้ำมันมะกอก, ถั่วอัลมอนด์ มีความสำคัญต่อการทำงานของสมองและฮอร์โมน
- ธาตุเหล็ก: หากร่างกายขาดธาตุเหล็กจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจางและอ่อนเพลียได้ง่าย พบมากในตับ, เนื้อแดง, ผักใบเขียว
- วิตามินบีรวม: มีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างพลังงานของร่างกาย พบได้ในธัญพืชไม่ขัดสีและเนื้อสัตว์
แนวทางบรรเทาอาการอ่อนเพลียเบื้องต้น
หากคุณรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างกะทันหัน ลองใช้วิธีเหล่านี้เพื่อช่วยให้รู้สึกดีขึ้นในเบื้องต้น:
- ดื่มน้ำเปล่า: ภาวะขาดน้ำเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้แล้ว
- ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย: การขยับร่างกายเบาๆ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและทำให้ตื่นตัว
- หายใจลึกๆ: การสูดหายใจเข้าลึกๆ และผ่อนออกยาวๆ ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้สมอง
- งีบหลับสั้นๆ: หากทำได้ การงีบประมาณ 15-20 นาที (Power Nap) สามารถช่วยฟื้นฟูพลังงานได้อย่างน่าทึ่ง
- ทานของว่างที่มีประโยชน์: ลองทานกล้วย, โยเกิร์ต หรือถั่วเล็กน้อย เพื่อเพิ่มพลังงานอย่างรวดเร็ว
สรุป
อาการอ่อนเพลียเป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนจากหลากหลายสาเหตุ ทั้งความเครียด, การพักผ่อนไม่เพียงพอ, หรือภาระหน้าที่ที่หนักหน่วง การเลือกใช้สมุนไพรแก้อาการอ่อนเพลีย ถือเป็นทางเลือกจากธรรมชาติที่ช่วยสนับสนุนให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงและสดใสได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งการนอนหลับที่มีคุณภาพ, การทานอาหารที่สมดุล, และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากอาการอ่อนเพลียยังคงเป็นต่อเนื่องและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่: กระเทียม
แหล่งอ้างอิง
1.Parsley Health: 8 สมุนไพรที่ดีที่สุดสำหรับเพิ่มพลังงานเพื่อต่อสู้กับความเหนื่อยล้าตามธรรมชาติ
3.โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจี๋หลิน Guosheng Hongyitang : 5 สมุนไพรจีนช่วยคลายความเหนื่อยล้า