เผย 7 สัญญาณที่ต้องรู้ อั้นอุจจาระ ผลเสีย ที่ร้ายกว่าที่คิด

เผย 7 สัญญาณที่ต้องรู้ อั้นอุจจาระ ผลเสีย ที่ร้ายกว่าที่คิด

ในยุคที่ทุกนาทีมีค่า การใช้ชีวิตที่เร่งรีบอาจทำให้หลายคนเลือกที่จะ “ขออีกแป๊บ” หรือ “ไว้ก่อน” เมื่อร่างกายส่งสัญญาณอยากเข้าห้องน้ำ ไม่ว่าจะด้วยภาระงานที่ติดพัน การเดินทางที่ไม่สะดวก หรือแม้แต่ความเขินอายในการใช้ห้องน้ำสาธารณะ แต่คุณเคยสงสัยไหมว่าพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำจนเป็นนิสัยนี้ กำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคุณในระยะยาวอย่างไรบ้าง

 

เผย 7 สัญญาณที่ต้องรู้ อั้นอุจจาระ ผลเสีย ที่ร้ายกว่าที่คิด  

การเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนของร่างกายเป็นประจำ โดยเฉพาะการกลั้นอุจจาระ คือหนึ่งในปัจจัยที่นำไปสู่ปัญหา อั้นอุจจาระ ผลเสีย ที่ตามมามากมายค่ะ เมื่อเราอั้นไว้ ลำไส้ใหญ่จะยังคงทำหน้าที่ดูดซึมน้ำออกจากก้อนอุจจาระต่อไปเรื่อยๆ ทำให้อุจจาระแข็งและแห้งขึ้น ส่งผลให้การขับถ่ายในครั้งต่อไปเป็นไปได้ยากลำบากยิ่งขึ้น และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพที่อาจตามมาอีกหลายประการ

 

รู้ทันร่างกาย: กลไกการขับถ่ายเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ก่อนจะไปดูผลเสีย เรามาทำความเข้าใจกลไกของร่างกายกันสักนิดนะคะหลังจากที่อาหารถูกย่อยในกระเพาะอาหารจนละเอียดแล้ว กากใยที่เหลืออยู่จะค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังลำไส้เล็ก ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการดูดซึมสารอาหารส่วนใหญ่ จากนั้นก็จะเดินทางต่อไปยัง ลำไส้ใหญ่ ค่ะ ลำไส้ใหญ่นี้เปรียบเสมือนอุโมงค์ยาวที่ขดไปมา มีหน้าที่สำคัญในการดูดซึมน้ำและแร่ธาตุที่ยังคงเหลืออยู่ เพื่อให้ของเสียมีความข้นพอเหมาะที่จะถูกขับถ่ายออกไป

ลำไส้ใหญ่ของเราแบ่งออกเป็นหลายส่วน แต่ละส่วนก็มีเส้นทางของตัวเองค่ะ เริ่มจาก ลำไส้ใหญ่ส่วนขึ้น ที่อยู่ทางขวาของช่องท้อง จากนั้นก็ข้ามผ่านช่องท้องไปเป็น ลำไส้ใหญ่ส่วนขวาง ทางด้านซ้ายมือ และปิดท้ายด้วย ลำไส้ใหญ่ส่วนลง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ของเสียจะเตรียมตัวออกเดินทางครั้งสุดท้ายจากร่างกายของเราค่ะ เมื่อของเสียที่เป็นของแข็งเดินทางมาถึงลำไส้ใหญ่ส่วนลงแล้ว ก็จะเคลื่อนตัวต่อไปยัง ไส้ตรง ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่เป็นคลังเก็บอุจจาระชั่วคราว ก่อนที่จะส่งต่อไปยัง ทวารหนัก เพื่อขับถ่ายออกไปในที่สุดค่ะ

การขับถ่ายของเสียนี้ถูกควบคุมโดย กล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก ซึ่งเปรียบเสมือนประตูกล ที่เปิด-ปิด เพื่อให้เราสามารถควบคุมการขับถ่ายได้อย่างที่ใจต้องการค่ะ ในแต่ละวัน ร่างกายของเราจะจัดการกับอาหารจำนวนมากถึงประมาณ 8-10 ควอร์ต แต่มีเพียงแค่ 3-8 ออนซ์เท่านั้นนะคะ ที่จะถูกขับออกมาในรูปของอุจจาระ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายในร่างกายของเราค่ะ (1)

 

ผลเสียระยะยาวจากการ “อั้นอุจจาระ” ที่คุณต้องระวัง

การอั้นอุจจาระเป็นครั้งคราวอาจไม่ส่งผลกระทบที่รุนแรงนัก แต่หากทำเป็นประจำ นิสัยนี้สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนและบั่นทอนคุณภาพชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ

 

1. ต้นตอของอาการท้องผูกเรื้อรัง

นี่คือผลกระทบที่พบได้บ่อยที่สุดค่ะ อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ยิ่งเราอั้นอุจจาระไว้นานเท่าไหร่ ลำไส้ก็จะยิ่งดูดน้ำกลับมากขึ้นเท่านั้น ทำให้อุจจาระแข็ง แห้ง และมีขนาดเล็กลง การขับถ่ายจึงต้องใช้แรงเบ่งมากกว่าปกติ เมื่อทำซ้ำๆ การอาจทำให้การรับรู้ความรู้สึกในการขับถ่ายลดลงได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อทวารหนักจะยืดออก ทำให้ยากที่จะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรเข้าห้องน้ำนำไปสู่ภาวะท้องผูกเรื้อรังในที่สุด (2)

 

2. เพิ่มความเสี่ยงของโรคริดสีดวงทวาร

การกลั้นอุจจาระบ่อยๆ อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่บริเวณทวารหนักและไส้ตรงได้นะคะ อย่างแรกคือ รอยแยกที่ทวารหนัก ซึ่งหมายถึงการฉีกขาดเล็กๆ บริเวณช่องทวารหนักที่มักจะสร้างความเจ็บปวดอย่างมากค่ะ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิด ริดสีดวงทวาร ซึ่งเป็นภาวะที่เส้นเลือดบริเวณทวารหนักหรือไส้ตรงเกิดการบวมเป่งขึ้นมา โดยอาจเกิดขึ้นได้ทั้งภายใน (ริดสีดวงภายใน) หรือภายนอกทวารหนัก (ริดสีดวงภายนอก) ซึ่งไม่ว่าจะเกิดที่ตำแหน่งใด ทั้งรอยแยกและริดสีดวงทวารต่างก็เป็นสาเหตุสำคัญของความเจ็บปวดได้เหมือนกันค่ะ (4)

 

3. กล้ามเนื้อหูรูดและอุ้งเชิงกรานอ่อนแรง

การอั้นอุจจาระบ่อยๆ เป็นการบังคับให้กล้ามเนื้อหูรูดและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานผิดปกติไปจากธรรมชาติ การเกร็งค้างไว้เป็นเวลานานอาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง ทำให้ความสามารถในการควบคุมการขับถ่ายลดลง รวมถึงยังทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทซึ่งส่งผลต่อการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อบริเวณทวารหนัก (3)

 

4. ภาวะอุจจาระอัดแน่นในลำไส้ (Fecal Impaction)

ภาวะอุจจาระอุดตัน เกิดขึ้นเมื่อคุณมีอาการท้องผูกอย่างรุนแรง จนไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระได้ตามปกติ ทำให้ของเสียสะสมและอัดแน่นอยู่ในลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ ภาวะนี้ยังอาจเกิดจากการที่เราไม่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกอยากขับถ่าย หรือไม่สามารถตอบสนองต่ออุจจาระที่คั่งอยู่ในลำไส้ตรงได้นั่นเองค่ะ ผู้ที่มีภาวะนี้อาจมีอาการปวดท้องรุนแรง ท้องอืด คลื่นไส้ โดยภาวะนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญนะคะ (5)

 

5. ภาวะลำไส้ทะลุ (Gastrointestinal perforation)

ภาวะที่อุจจาระถูกดันกลับเข้าไปในระบบทางเดินอาหารจนทำให้เกิดการทะลุนั้นเป็นสถานการณ์ที่อันตรายและร้ายแรงอย่างยิ่งค่ะ เมื่อลำไส้เกิดการทะลุ แบคทีเรียจำนวนมากที่อยู่ในอุจจาระสามารถรั่วไหลเข้าไปในช่องท้องได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียวค่ะ (4)

 

6. เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2015 ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างพฤติกรรมการขับถ่ายกับสุขภาพลำไส้ใหญ่ค่ะ โดยชี้ให้เห็นว่า ปริมาณอุจจาระที่สะสมอยู่ในลำไส้ใหญ่ที่เพิ่มมากขึ้น หรือการที่อุจจาระค้างอยู่ในลำไส้นานกว่าปกติ อาจส่งผลโดยตรงต่อสภาพแวดล้อมภายในลำไส้ เมื่อมีอุจจาระสะสมมากเกินไป ก็อาจนำไปสู่การ เพิ่มจำนวนของแบคทีเรีย บางชนิดที่อาจไม่เป็นมิตรต่อร่างกายภายในลำไส้ใหญ่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาคือการกระตุ้นให้เกิด การอักเสบของลำไส้ใหญ่ในระยะยาว ค่ะ การอักเสบเรื้อรังนี้เองที่นักวิจัยมีความกังวลอย่างยิ่ง เพราะอาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในอนาคตได้ (6)

 

7. ภาวะไส้ติ่งอักเสบ

มีงานวิจัยพบว่า การกลั้นอุจจาระบ่อยๆ หรือเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไส้ติ่งอักเสบได้สูงขึ้นค่ะ  (6)

 

ปรับพฤติกรรมอย่างไร? เพื่อเลี่ยงการอั้นอุจจาระ และส่งเสริมสุขภาพลำไส้

ข่าวดีคือเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อดูแลระบบขับถ่ายให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้นค่ะ

  1. ฟังเสียงร่างกาย: สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อรู้สึกปวดอุจจาระ ให้หาเวลาเข้าห้องน้ำโดยเร็วที่สุด อย่าผัดวันประกันพรุ่ง
  2. สร้างกิจวัตร: ลองกำหนดเวลาเข้าห้องน้ำเป็นประจำทุกวัน เช่น หลังตื่นนอนตอนเช้า หรือหลังมื้ออาหาร เพื่อฝึกให้ลำไส้ทำงานเป็นเวลา
  3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว จะช่วยให้อุจจาระนุ่มขึ้นและขับถ่ายได้ง่าย
  4. เน้นอาหารกากใยสูง: เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และถั่วต่างๆ ในมื้ออาหาร เพื่อเพิ่มมวลอุจจาระและสนับสนุนการทำงานของลำไส้
  5. เคลื่อนไหวร่างกาย: การออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น การเดินเร็ว วิ่ง หรือโยคะ จะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ได้เป็นอย่างดีค่ะ 

 

ถ่ายไม่ออกกี่วันอันตราย

โดยทั่วไปแล้ว ความถี่ในการขับถ่ายที่ถือว่า “ปกติ” อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนถ่ายวันละ 2–3 ครั้ง ในขณะที่บางคนอาจถ่ายวันเว้นวันก็ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติได้ เพราะร่างกายของแต่ละคนมีระบบย่อยอาหาร ไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมือนกัน

แต่หากคุณถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ นั่นอาจเป็นสัญญาณของภาวะท้องผูก ซึ่งไม่ควรมองข้าม เพราะการปล่อยให้ของเสียค้างอยู่ในลำไส้นานเกินไป อาจทำให้รู้สึกแน่นท้อง อึดอัด ไม่สบายตัว และยิ่งทำให้การขับถ่ายยากขึ้นในครั้งต่อไป (8)

 

อั้นอุจจาระ ปวดหัว ได้หรือไม่

นักวิจัยเชื่อว่า อาการท้องผูกอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ หรือในอีกมุมหนึ่ง อาการทั้งสองอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยกระตุ้นร่วมบางอย่างที่ส่งผลต่อการทำงานของร่างกายคล้ายกัน มีการศึกษาเล็ก ๆ ในปี 2015 ที่สำรวจในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น โดยพบว่า ผู้เข้าร่วมที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการปวดศีรษะแบบตึงเครียด (tension-type headache) มีแนวโน้มที่จะท้องผูกร่วมด้วยมากถึง 25% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประชากรทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อนักวิจัยให้การดูแลเรื่องระบบขับถ่ายอย่างเหมาะสม อาการปวดศีรษะของผู้เข้าร่วมหลายรายกลับดีขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้เกิดสมมุติฐานว่า การจัดการกับอาการท้องผูกอย่างตรงจุด อาจช่วยลดความถี่หรือความรุนแรงของอาการปวดหัวได้ด้วยเช่นกัน (9)

 

 

สรุป

การ อั้นอุจจาระ อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ ผลเสีย ที่ตามมานั้นกระทบต่อสุขภาพตั้งแต่ระบบขับถ่ายโดยตรงไปจนถึงคุณภาพชีวิตโดยรวม การเพิกเฉยต่อสัญญาณจากร่างกายบ่อยครั้งนำไปสู่ปัญหาท้องผูกเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร และอาจรุนแรงถึงขั้นกล้ามเนื้อหูรูดมีปัญหาได้ ดังนั้น การหันมาใส่ใจ “เสียงเรียกจากธรรมชาติ” ขับถ่ายให้เป็นเวลา ควบคู่ไปกับการดูแลเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกาย จึงเป็นหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพลำไส้ที่ดีและคุณภาพชีวิตที่ยืนยาวค่ะ

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่: ระบบขับถ่าย

 

แหล่งอ้างอิง

1.ebsco: ระบบขับถ่ายของมนุษย์

2.verywellhealth: การอั้นอุจจาระเป็นเรื่องแย่แค่ไหน?

3.mayoclinic: ภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่

4.carolinadigestive: การอั้นอุจจาระเป็นเรื่องไม่ดีใช่ไหม?

5.Cleveland Clinic: การอุดตันของอุจจาระ

6.Medical News Today: ทำไมผู้คนไม่ควรกลั้นอุจจาระ

7.New york post: การกลั้นอุจจาระไว้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง นี่คือสิ่งที่อาจเกิดขึ้น

8.healthline: คนเราสามารถอยู่ได้นานแค่ไหนโดยไม่ต้องขับถ่าย?

9.verywellhealth: อาการท้องผูกและอาการปวดหัว: สาเหตุ และวิธีการรักษา

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการให้คำแนะนำทางการแพทย์, การวินิจฉัย, หรือการรักษา หากมีข้อกังวลหรือคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเสมอ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความอื่นๆ