อิเล็กโทรไลต์ คือ อะไร เจาะลึก หน้าที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

อิเล็กโทรไลต์ คืออะไร เจาะลึก หน้าที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

เคยรู้สึกอ่อนเพลีย วิงเวียน หรือเป็นตะคริวหลังจากออกกำลังกายหนักๆ หรือในวันที่อากาศร้อนจัดไหมคะ? อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายของคุณกำลังต้องการ “อิเล็กโทรไลต์” อยู่ก็เป็นได้ค่ะ หลายคนอาจเคยได้ยินคำนี้จากเครื่องดื่มเกลือแร่ แต่เคยสงสัยไหมคะว่าจริงๆ แล้ว อิเล็กโทรไลต์  ทำไมมันถึงมีความสำคัญต่อร่างกายของเรามากขนาดนั้น วัในบทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับฮีโร่ตัวจิ๋วแต่ทรงพลังเหล่านี้กันค่ะ

อิเล็กโทรไลต์ คืออะไร?

อิเล็กโทรไลต์ คือ สารที่มีประจุไฟฟ้าบวกหรือลบตามธรรมชาติเมื่อละลายในน้ำ ร่างกายของผู้ใหญ่ประกอบด้วยน้ำประมาณ 60% ซึ่งหมายความว่าของเหลวและเซลล์เกือบทุกเซลล์ในร่างกายมีอิเล็กโทรไลต์ อิเล็กโทรไลต์ช่วยให้ร่างกายควบคุมปฏิกิริยาเคมี รักษาสมดุลระหว่างของเหลวภายในและภายนอกเซลล์ และอื่นๆ อีกมากมาย ร่างกายของคุณได้รับอิเล็กโทรไลต์หรือส่วนประกอบของอิเล็กโทรไลต์จากสิ่งที่คุณกินและดื่ม ไตจะกรองอิเล็กโทรไลต์ส่วนเกินออกจากร่างกายและเข้าสู่ปัสสาวะ คุณยังสูญเสียอิเล็กโทรไลต์เมื่อเหงื่อออกด้วยเช่นกันค่ะ (2)

อิเล็กโทรไลต์ทำหน้าที่อะไรในร่างกาย?

อิเล็กโทรไลต์เปรียบเสมือนทีมงานเบื้องหลังที่คอยดูแลให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ โดยมีหน้าที่หลักๆ ที่โดดเด่นดังนี้ค่ะ (3)

  • ปรับสมดุลปริมาณน้ำในร่างกาย
  • ปรับสมดุลระดับกรด/เบส (pH) ของร่างกาย
  • เคลื่อนย้ายสารอาหารเข้าสู่เซลล์ของคุณ
  • กำจัดของเสียออกจากเซลล์ของคุณ
  • สนับสนุนการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทของคุณ
  • รักษาอัตราการเต้นของหัวใจและจังหวะให้คงที่
  • รักษาความดันโลหิตของคุณให้คงที่
  • รักษากระดูกและฟันของคุณให้แข็งแรง

อาการของภาวะอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติมีอะไรบ้าง

เมื่อร่างกายมีอิเล็กโทรไลต์ต่ำอาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีอาการตะคริว สับสน ไม่สบายตัว หรือแม้กระทั่งหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วร่างกายจะควบคุมระดับอิเล็กโทรไลต์อย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเสริมเป็นประจำ แต่การรู้เท่าทันถึงอาการที่กล่าวมาก็จะช่วยให้คุณสามารถฟื้นฟูสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ในร่างกายได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีอิเล็กโทรไลต์เสริมค่ะ ดังนั้น หากมีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะหลังการสูญเสียของเหลวจำนวนมาก การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อรับการดูแลที่เหมาะสม (4)

 

เราจะเติมอิเล็กโทรไลต์ให้ร่างกายได้อย่างไร?

ตามปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะได้รับอิเล็กโทรไลต์เพียงพอจากการทานอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลายค่ะ แต่ในบางสถานการณ์ การเสริมอิเล็กโทรไลต์ก็อาจเป็นประโยชน์ได้ เช่น (4)

เมื่อออกกำลังกายอย่างหนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากออกกำลังกายนานกว่าหนึ่งชั่วโมง นอกจากจะดื่มน้ำเพื่อเติมความชุ่มชื้นแล้ว การเลือกเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มีส่วนผสมของอิเล็กโทรไลต์อย่างโซเดียมและโพแทสเซียมก็จะช่วยทดแทนส่วนที่ร่างกายสูญเสียไปกับเหงื่อได้ดี

เมื่อมีอาการอาเจียนหรือท้องเสีย

 แพทย์หรือเภสัชกรอาจแนะนำให้ใช้สารละลายเกลือแร่สำหรับดื่ม (Oral Rehydration Solution) ซึ่งมีจำหน่ายทั้งแบบผงและแบบน้ำ เพื่อช่วยฟื้นฟูสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ในร่างกายให้กลับมาเป็นปกติได้ค่ะ

แหล่งอิเล็กโทรไลต์จากอาหาร

  • กล้วย, อะโวคาโด, ผักโขม: อุดมไปด้วยโพแทสเซียม
  • นม, โยเกิร์ต, ปลาตัวเล็ก: แหล่งของแคลเซียมที่ดี
  • ถั่วต่างๆ, เมล็ดฟักทอง: เต็มไปด้วยแมกนีเซียม
  • แตงโม, แตงกวา: ช่วยเติมทั้งน้ำและอิเล็กโทรไลต์
  • เกลือแกง: เป็นแหล่งของโซเดียมและคลอไรด์โดยตรง

เครื่องดื่มเสริมอิเล็กโทรไลต์

สำหรับผู้ที่ต้องการความสดชื่นอย่างรวดเร็วหลังการเสียเหงื่อ เครื่องดื่ม อิเล็กโทรไลต์ ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่สะดวกสบาย ซึ่งมักพบในรูปแบบของเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬา (Sports Drinks) หรือน้ำมะพร้าวธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ควรเลือกดื่มในปริมาณที่เหมาะสมและระวังปริมาณน้ำตาลที่อาจสูงในเครื่องดื่มบางชนิดนะคะ

 

สรุป

อิเล็กโทรไลต์ เป็นแร่ธาตุสำคัญที่มีประจุไฟฟ้าซึ่งมีบทบาทอย่างยิ่งยวดต่อการทำงานพื้นฐานของร่างกาย ตั้งแต่การรักษาสมดุลของเหลว การส่งสัญญาณประสาท ไปจนถึงการทำงานของกล้ามเนื้อและหัวใจ การดูแลให้ร่างกายได้รับอิเล็กโทรไลต์อย่างเพียงพอผ่านอาหารที่สมดุลและการดื่มน้ำที่เหมาะสม จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การมีสุขภาพที่ดีและรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาในทุกๆ วันค่ะ

 

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่: ความรู้ทั่วไป

 

แหล่งอ้างอิง

1.National Library of Medicine:อิเล็กโทรไลต์

2.clevelandclinic: อิเล็กโทรไลต์

3.medlineplus: สมดุลของเหลวและอิเล็กโทรไลต์

4.bupa.co.uk: อิเล็กโทรไลต์คืออะไร และทำไมฉันจึงต้องใช้มัน?

 

*บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการให้คำแนะนำทางการแพทย์, การวินิจฉัย, หรือการรักษา หากมีข้อกังวลหรือคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเสมอ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความอื่นๆ