โพรไบโอติก กินยังไง ให้เป๊ะ 6 เคล็ดลับ ที่ลำไส้ต้องเลิฟ

โพรไบโอติก กินยังไง ให้เป๊ะ 6 เคล็ดลับ ที่ลำไส้ต้องเลิฟ

โพรไบโอติก…คำนี้เราได้ยินบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากโฆษณานมเปรี้ยว โยเกิร์ต หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจ “ลำไส้” กันมากขึ้น เพราะรู้แล้วว่า ลำไส้ไม่ใช่แค่ที่ย่อยอาหาร แต่ยังเป็นเหมือนศูนย์กลางของภูมิคุ้มกัน สุขภาพผิว และแม้แต่สุขภาพจิต

โพรไบโอติก กินยังไง ให้เป๊ะ 6 เคล็ดลับ ที่ลำไส้ต้องเลิฟ

โพรไบโอติก…คำนี้ฟังดูคุ้นหูมากขึ้นทุกวัน แต่ โพรไบโอติก กินยังไง ให้ได้ประโยชน์จริง ๆ ไม่ใช่แค่หยิบโยเกิร์ตหรืออาหารเสริมอะไรก็ได้มาทาน เพราะโพรไบโอติกก็มีรายละเอียดปลีกย่อยที่เราควรรู้ไว้ เพื่อให้การดูแลลำไส้ของเรามีประสิทธิภาพสูงสุด ในบทความนี้เราจะพาคุณมาดู 6 ข้อสำคัญที่คุณควรทราบเกี่ยวกับการกินโพรไบโอติก เพื่อให้คุณใช้ประโยชน์จากสิ่งดี ๆ นี้ได้เต็มที่ค่ะ โดยจะมีอะไรบ้างนั้น ลองไปดูกันเลยค่ะ 

 

1. โพรไบโอติกไม่ใช่แบคทีเรียทุกตัว แต่เป็น ‘แบคทีเรียดี’ เท่านั้น

คำว่า “แบคทีเรีย” มักทำให้คนรู้สึกว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่จริง ๆ แล้ว ในร่างกายของเรามีแบคทีเรียอยู่หลายร้อยล้านตัว โดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในลำไส้ และมีทั้ง “แบคทีเรียดี” กับ “แบคทีเรียที่ไม่เป็นมิตร” ปะปนกันอยู่ โพรไบโอติกคือแบคทีเรียดีที่เมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วจะช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ปรับสมดุลกรด-ด่าง ช่วยย่อยอาหารบางชนิด เพิ่มภูมิคุ้มกัน และช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ยิ่งร่างกายมีแบคทีเรียดีมากเท่าไหร่ โอกาสที่ร่างกายจะทำงานอย่างราบรื่นก็ยิ่งสูงขึ้นค่ะ (1)

 

2. กินเวลาไหนดี?

ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงพอที่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า “เวลาใดดีที่สุด” สำหรับการกินโพรไบโอติก ดังนั้น สามารถเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมกับความสะดวกของตัวเองมากที่สุดได้ค่ะ แต่ลองสังเกตว่ามีอาการผิดปกติหลังจากกินโพรไบโอติก เช่น ท้องอืดหรือไม่สบายท้อง อาจลองเปลี่ยนเวลาในการกิน หรือลองทานร่วมกับอาหารดู และหากผลิตภัณฑ์ที่ใช้แนะนำให้ทานร่วมกับอาหาร ควรเลือกกินพร้อมมื้อเดิมในแต่ละวัน เช่น มื้อเช้า เพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรกินโพรไบโอติกอย่าง “สม่ำเสมอ” เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดจากจุลินทรีย์ดีที่เราเติมเข้าไปค่ะ (3)

 

3. กิน โพรไบโอติก แล้วต้องกิน พรีไบโอติก ด้วย

โพรไบโอติกเปรียบเหมือน “จุลินทรีย์ดี” ที่เรานำเข้า แต่การจะให้เขาอยู่รอดและตั้งถิ่นฐานได้นานในลำไส้ เราต้องมี “พรีไบโอติก” ซึ่งก็คือใยอาหารที่เป็นอาหารของพวกเขา พรีไบโอติกพบได้ในผักผลไม้หลายชนิด เช่น กล้วยหอม หน่อไม้ฝรั่ง หัวหอม กระเทียม และธัญพืชไม่ขัดสี ซึ่งใยอาหารเหล่านี้จะไม่ถูกย่อยในกระเพาะ แต่จะลงไปยังลำไส้ใหญ่ และกลายเป็นแหล่งพลังงานให้กับโพรไบโอติกที่เราทานเข้าไป การทานพรีไบโอติกเป็นประจำ ยังช่วยส่งเสริมแบคทีเรียดีที่มีอยู่เดิมในร่างกายให้แข็งแรงขึ้นด้วยนั่นเองค่ะ (1)

 

4. โพรไบโอติกแต่ละสายพันธุ์มีคุณสมบัติต่างกัน

โพรไบโอติกไม่ได้ “เหมือนกันหมด” นะคะ การเลือกให้ตรงกับปัญหาสุขภาพจะช่วยให้เห็นผลชัดเจนมากขึ้น โดยแต่ละสายพันธุ์ให้คุณสมบัติที่แตกต่างกันนั่นเองค่ะ เช่น

  • Lactobacillus rhamnosus GG – มีข้อมูลสนับสนุนจากงานวิจัยมากมายว่าช่วยลดอาการท้องเสีย โดยเฉพาะจากการใช้ยาปฏิชีวนะ (4)
  • Bifidobacterium infantis 35624 – เหมาะกับผู้มีอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) หรือท้องอืดเรื้อรัง (5)
  • Bifidobacterium longum 1714  เหมาะกับใช้ในเรื่องของปรับสมดุลอารมณ์ บรรเทาความเครียดในชีวิตประจำวัน (6)

 

5. โพรไบโอติกต้องกินต่อเนื่องและเหมาะสม

แม้โพรไบโอติกจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ไม่ได้เป็นยาวิเศษที่ทานครั้งเดียวแล้วเห็นผลทันทีนะคะ แบคทีเรียดีที่กินเข้าไปจะอาศัยอยู่ในร่างกายเราเพียงชั่วคราว จะดีที่สุดหากกินอย่างต่อเนื่องเป็นประจำสม่ำเสมอนะคะ (2)

 

6. ข้อควรระวัง

โดยทั่วไป โพรไบโอติกปลอดภัยกับคนส่วนใหญ่ แต่ก องค์การโรคทางเดินอาหารโลกแนะนำว่าผู้ที่เป็นโรคร้ายแรงหรือมีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องไม่ควรกินโพรไบโอติก เพราะ แม้โพรไบโอติกจะดูเหมือนเป็นแบคทีเรียดี แต่ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การรับจุลินทรีย์เพิ่มอาจเสี่ยงทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ซึ่งเป็นกรณีที่พบไม่บ่อย แต่ควรระวังเช่นกันค่ะ (3)

 

โพรไบโอติก กินทุกวันได้ไหม

ได้ค่ะ เพราะ โพรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์ที่จะอยู่ในระบบทางเดินอาหารเพียงชั่วคราว โดยไม่ได้เกาะติดกับผนังลำไส้อย่างถาวร จึงเป็นเหตุผลที่ควรได้รับโพรไบโอติกอย่างต่อเนื่องในทุกวัน เพื่อคงประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ  (2)

 

ทําไมกินโพรไบโอติกแล้วถ่ายบ่อย

เป็นสัญญาณว่าลำไส้กำลังปรับสมดุลจุลินทรีย์ใหม่ โดยเฉพาะในช่วงแรกที่แบคทีเรียดีเข้าไปช่วยจัดระเบียบระบบย่อยอาหารให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น กระบวนการนี้อาจกระตุ้นให้ลำไส้เคลื่อนไหวเร็วขึ้น จึงทำให้บางคนรู้สึกว่าขับถ่ายบ่อยหรือถ่ายเหลวเล็กน้อย ซึ่งมักเป็นอาการชั่วคราวที่สามารถหายได้เองภายในไม่กี่วัน ดังนั้นหากถามว่า โพรไบโอติก กินยังไง การเริ่มจากปริมาณน้อย ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มตามคำแนะนำ ก็ช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้นโดยไม่เกิดผลข้างเคียงค่ะ

 

สรุป

โพรไบโอติกคือเพื่อนซี้ของลำไส้ และลำไส้คือเพื่อนรักของสุขภาพร่างกายของเรานั่นเองค่ะ ถ้าเราเข้าใจวิธีกินที่ถูกต้อง เลือกชนิดให้ตรงกับความต้องการ และทานอย่างต่อเนื่องควบคู่กับพฤติกรรมสุขภาพดี ๆ โพรไบโอติกจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการสร้างสมดุลภายในร่างกายของเราค่อย ๆ ปรับวิธีกินให้เหมาะกับตัวเองนะคะ สุขภาพที่ดี…ไม่ต้องเร่ง แค่เริ่มให้ถูกทางก็พอค่ะ

 

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่: Probiotic

แหล่งอ้างอิง

1.clevelandclinic: โปรไบโอติกส์

2.webmd: โปรไบโอติก

3.verywellhealth: เวลาที่ดีที่สุดของวันในการกินโปรไบโอติก

4.webmd: สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับโปรไบโอติก Lactobacillus Rhamnosus (LGG)

5.National Library of Medicine:ประสิทธิภาพของโปรไบโอติกแบบห่อหุ้ม Bifidobacterium infantis 35624 ในสตรีที่มีอาการลำไส้แปรปรวน

6.Probiotic Learning Lab: โปรไบโอติกส์สำหรับความเครียด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความอื่นๆ