หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำว่า “คอเลสเตอรอล” แต่ “ไตรกลีเซอไรด์” ก็เป็นอีกหนึ่งค่าไขมันในเลือดที่สำคัญไม่แพ้กัน การมีระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงเกินไปอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพบางอย่างได้ในระยะยาว บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งว่าจริงๆ แล้ว ไตรกลีเซอไรด์ เกิดจากอะไร และเราจะมีแนวทางการดูแลตัวเองเพื่อปรับสมดุลค่าไขมันนี้ได้อย่างไรบ้าง
ไตรกลีเซอไรด์ เกิดจากอะไร
ไตรกลีเซอไรด์ เกิดจากอะไร ควาจริงแล้ว ไตรกลีเซอไรด์ คือ ไขมันที่เราได้รับจากอาหารที่กินเข้าไป เช่น เนย หรืออาหารที่มีไขมันสูง รวมถึงแคลอรี่ส่วนเกิน แอลกอฮอล์ และน้ำตาลที่ร่างกายเราเปลี่ยนให้เป็นไขมันชนิดนี้ จากนั้นร่างกายก็จะนำไปเก็บสะสมไว้ในเซลล์ไขมัน เหมือนเป็นแหล่งพลังงานสำรองที่พร้อมให้เราดึงออกมาใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการนั่นเองค่ะ ซึ่ง ภาวะไตรกลีเซอไรด์สูง (hypertriglyceridemia) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งนำไปสู่ภาวะหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองได้ (3) ซึ่งจะเกิดจากอะไรบ้างนั้น ในบทความนี้เราได้รวบรวมมาให้แล้วค่ะ
1.พลังงานส่วนเกินจากอาหารที่กินเข้าไป
นี่คือสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะการบริโภคอาหารที่ให้พลังงานสูงเกินกว่าที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ร่างกายจะนำพลังงานส่วนเกินเหล่านั้นไปสร้างเป็นไตรกลีเซอไรด์สะสมไว้ กลุ่มอาหารที่มีผลอย่างยิ่งคือ (1)
- น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตขัดสี: การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมาก ไม่ว่าจะเป็นจากเครื่องดื่มรสหวาน ขนมหวาน เบเกอรี่ หรืออาหารแปรรูปต่างๆ รวมถึงคาร์โบไฮเดรตขัดสี เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเพิ่มขึ้นของระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด (2)
- ไขมันบางชนิด: การทานไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ในปริมาณมากเกินไปก็สามารถส่งผลต่อระดับไตรกลีเซอไรด์ได้เช่นกัน
2. พฤติกรรมการใช้ชีวิต
ไลฟ์สไตล์มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อสมดุลไขมันในร่างกาย พฤติกรรมบางอย่างอาจส่งเสริมให้ไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นได้ เช่น:
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป: แอลกอฮอล์มีปริมาณแคลลอรี่และน้ำตาลสูง ซึ่งสามารถกระตุ้นให้ตับผลิตไตรกลีเซอไรด์ออกมามากขึ้น แม้แต่ปริมาณเล็กน้อยก็อาจทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ให้ดื่มเพียงวันละ 1 แก้วค่ะ (1)
- การขาดการออกกำลังกาย: การไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกายหรือขาดการออกกำลังกาย ทำให้การเผาผลาญพลังงานของร่างกายลดลง พลังงานที่เหลือใช้จึงถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ได้ง่ายขึ้น (1)
3.การนอนหลับ
การนอนหลับไม่เพียงพอ (น้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืน) เชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง เบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วน ซึ่งล้วนมีส่วนทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นได้ นอกจากนี้ ความผิดปกติของการนอนหลับ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับแบบอุดกั้น ยังสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอล LDL ส่งผลให้เสี่ยงโรคหัวใจมากขึ้น ขณะเดียวกัน การนอนหลับมากเกินไป (เกิน 10 ชั่วโมงต่อคืน) ก็มีความเชื่อมโยงกับภาวะเมตาบอลิกซินโดรมและระดับไขมันในเลือดที่ผิดปกติด้วยเช่นกัน (2)
4. ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด
จากการทบทวนงานวิจัย พบว่ายาหลายกลุ่มสามารถทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดเพิ่มขึ้นได้ตั้งแต่ประมาณ 5–200% ยาที่มักเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ได้แก่ ยาภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น ไซโคลสปอรินและทาโครลิมัส, ยาต้านไวรัสกลุ่มสารยับยั้งโปรตีเอส, ยารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดบางชนิด เช่น เบต้าบล็อกเกอร์, ยาขับปัสสาวะแบบห่วง และยาขับปัสสาวะไทอาไซด์ขนาดสูง นอกจากนี้ยังรวมถึงยาต้านโรคจิตทั้งรุ่นแรกและรุ่นที่สอง ตลอดจนยาฮอร์โมนและเรตินอยด์บางชนิด
การทานยากลุ่มเหล่านี้อาจส่งผลต่อการควบคุมระดับไขมันในเลือด โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีภาวะไขมันสูงอยู่แล้ว ดังนั้นแพทย์มักติดตามระดับไขมันในเลือดของผู้ป่วยที่ได้รับยาดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด (2)
5. พันธุกรรม
ภาวะไตรกลีเซอไรด์สูงอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม โดยเฉพาะในผู้ที่มี “ภาวะไตรกลีเซอไรด์สูงในครอบครัว” ซึ่งระดับไตรกลีเซอไรด์มักอยู่ระหว่าง 200–500 มก./ดล. และบางรายอาจสูงได้ถึง 4,000 มก./ดล. เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคตับอ่อนอักเสบ การดูแลมักเริ่มจากการปรับวิถีชีวิต เช่น ทานอาหารไขมันต่ำมาก ภายใต้คำแนะนำของนักโภชนาการ และอาจใช้ยาลดไตรกลีเซอไรด์ในกรณีที่จำเป็น (2)
ระดับไตรกลีเซอไรด์เท่าไหร่ถึงจะเป็นอันตราย
การมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงอาจเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะเมื่อค่าสูงกว่า 500 มก./ดล. ซึ่งถือว่าสูงมากและอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับตับและตับอ่อน (1)
ถ้าค่าไตรกลีเซอไรด์สูงถึง 1,500 มก./ดล. หรือมากกว่านั้น ถือว่าเป็นระดับที่สูงมากและอาจรบกวนการทำงานของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะไขมันไม่สลายตัว ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการความจำเสื่อม ตับและม้ามบวม และมีอาการปวดท้องตามมา
โดยทั่วไปแล้ว ระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงมักจะมาพร้อมกับปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน รวมถึงมีระดับคอเลสเตอรอล LDL (ไขมันเลว) สูง และคอเลสเตอรอล HDL (ไขมันดี) ต่ำ ซึ่งงานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่าภาวะนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น หัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้นจึงควรหาวิธีลดระดับไตรกลีเซอไรด์ลงให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย
อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าไตรกลีเซอไรด์สูง?
หนึ่งในความน่ากังวลของภาวะไตรกลีเซอไรด์สูงคือ มักไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจน ในระยะแรก หลายคนอาจไม่ทราบว่าตนเองมีค่าไขมันนี้สูงจนกว่าจะได้รับการตรวจเลือดประจำปี ดังนั้น การตรวจสุขภาพจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราทราบค่าไขมันในเลือดของตนเอง สำหรับกรณีที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงมากเป็นพิเศษค่ะ (3)
แนวทางการดูแลตัวเองเพื่อปรับสมดุลไตรกลีเซอไรด์
ข่าวดีคือ ระดับไตรกลีเซอไรด์มักตอบสนองต่อการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ได้เป็นอย่างดี การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมจึงเป็นหัวใจสำคัญในการควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกคนสามารถเริ่มต้นได้ (3)
- ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที
- ทานอาหารที่ดีต่อหัวใจ ลดไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ น้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตขัดสี พร้อมเพิ่มผัก ผลไม้ และไฟเบอร์
- ควบคุมระดับความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือด
- ลดการดื่มแอลกอฮอล์
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ลดน้ำหนักหากเกินเกณฑ์ และรักษาน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม
- เลิกสูบบุหรี่และหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบ
สรุป
โดยสรุปแล้ว คำตอบของคำถามที่ว่า ไตรกลีเซอไรด์ เกิดจากอะไร นั้นมีหลากหลายปัจจัย ตั้งแต่การบริโภคอาหารที่ให้พลังงานสูง โดยเฉพาะน้ำตาลและแป้งขัดสี, พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การดื่มแอลกอฮอล์และการขาดการออกกำลังกาย ไปจนถึงภาวะสุขภาพและพันธุกรรม แม้ภาวะไตรกลีเซอไรด์สูงจะไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจน แต่เราสามารถดูแลและปรับสมดุลได้ด้วยการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้ดีขึ้น ทั้งการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์, การออกกำลังกายเป็นประจำ และการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว
อ่านบทความที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่: Five Oil
แหล่งอ้างอิง
1.webmd: ไตรกลีเซอไรด์สูง: สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้
2.everydayhealth: อะไรอยู่เบื้องหลังไตรกลีเซอไรด์สูงของคุณ? 6 สาเหตุที่เป็นไปได้