อาการปวดศีรษะไมเกรน ไม่ใช่แค่การปวดหัวธรรมดา แต่เป็นความรู้สึกปวดตุบๆ ที่รบกวนการใช้ชีวิตจนหลายคนแทบทำอะไรไม่ได้เลย ซึ่งนอกจากการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญแล้ว การศึกษาทางเลือกจากธรรมชาติก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่หลายคนให้ความสนใจ วันนี้โปรทริว่าจึงอยากชวนมาทำความรู้จักกับสมุนไพรและสารสกัดจากธรรมชาติ ที่อาจเป็นตัวช่วยที่ดีในการดูแลและบรรเทาอาการไมเกรนกันค่ะ
การมองหา สมุนไพรแก้ไมเกรน เป็นทางเลือกเสริมที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะหลายคนต้องการแนวทางดูแลตัวเองแบบองค์รวมควบคู่ไปกับการดูแลโดยแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งสมุนไพรและสารอาหารบางชนิดก็มีงานวิจัยที่น่าสนใจมารองรับถึงคุณสมบัติในการช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ วันนี้เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่น่าสนใจ
ฟีเวอร์ฟิว สมุนไพรจากยุโรปชนิดนี้มีดอกขนาดเล็กคล้ายดอกเดซี่ บางครั้งใช้รักษาโรคข้ออักเสบหรือโรคผิวหนังด้วย บางคนแนะนำว่าฟีเวอร์ฟิวอาจทำให้ปวดหัวน้อยลง นอกจากนี้ยังอาจช่วยบรรเทาอาการปวด แพ้แสง และอาการอื่นๆ ได้อีกด้วย (1)
ขิงเป็นสมุนไพรในครัวเรือนที่ไม่ได้มีดีแค่เรื่องช่วยย่อยอาหาร แต่ยังมีบทบาทที่น่าสนใจอย่างยิ่งต่อการบรรเทาอาการไมเกรนเฉียบพลันอีกด้วย งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ทำการเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างผงขิงกับยาไมเกรนแผนปัจจุบัน และพบว่าผงขิงสามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการปวดศีรษะได้ดีเทียบเท่ากัน โดยมีข้อดีคือพบผลข้างเคียงน้อยกว่า (1) (2) ทำให้การดื่มน้ำขิงอุ่นๆ เป็นอีกหนึ่ง เครื่องดื่มแก้ไมเกรน ที่ทำได้ง่ายและอาจช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้
แม้จะไม่ใช่สมุนไพรโดยตรง แต่แมกนีเซียมคือแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายขาดไม่ได้ มีงานศึกษาหลายชิ้นพบความเชื่อมโยงว่าผู้ที่มีอาการไมเกรนบ่อยครั้งมักมีระดับแมกนีเซียมในร่างกายต่ำกว่าปกติ (3) แมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ช่วยป้องกันการส่งสัญญาณความเจ็บปวดในสมองที่มากเกินไป การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม เช่น ดาร์กช็อกโกแลต, อะโวคาโด, อัลมอนด์, เมล็ดฟักทอง, และผักใบเขียว จึงเป็น วิธี แก้ไมเกรน ธรรมชาติ ที่เริ่มต้นได้ง่ายๆ จากการปรับโภชนาการ (1) (2)
การทานอาหารที่อุดมด้วยไรโบฟลาวิน (วิตามินบี 2) เช่น เห็ด ควินัว ถั่ว และไข่ อาจช่วยบรรเทาอาการได้ซึ่งมีงานวิจัยหลายฉบับระบุว่าไรโบฟลาวินอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดไมเกรนได้ โดยคณะอนุกรรมการมาตรฐานคุณภาพของสถาบันประสาทวิทยาแห่งอเมริกา (American Academy of Neurology) ร่วมกับสมาคมปวดหัวแห่งอเมริกา (American Headache Society) ยังสรุปด้วยว่าไรโบฟลาวิน “น่าจะมีประสิทธิภาพ” ในการช่วยป้องกันอาการปวดหัวไมเกรนอีกด้วย (4)
บัตเตอร์เบอร์ (Petasites hybridus) เช่นเดียวกับเฟเวอร์ฟิว บัตเตอร์เบอร์ (Petasites hybridus) มีประวัติความเป็นมายาวนานหลายศตวรรษในฐานะยาพื้นบ้านสำหรับบรรเทาอาการปวดหัว เป็นไม้พุ่มยืนต้นที่พบได้ในพื้นที่ชุ่มน้ำทางตอนเหนือของยุโรปและที่อื่นๆ มีการทดลองวิจัยเกี่ยวกับบัตเตอร์เบอร์อยู่บ้างเล็กน้อย การศึกษาเหล่านี้มีคุณภาพแตกต่างกันไป แต่ล้วนให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ในการทดลองครั้งแรกกับผู้ใหญ่ ผู้ป่วยไมเกรนเกือบสามในสี่มีอาการดีขึ้น โดยอาการกำเริบลดลงเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ ผลกระทบในเด็กและวัยรุ่นโดยรวมคล้ายคลึงกัน (2)
นอกจากการใช้ สมุนไพรแก้ไมเกรน แล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เป็นหัวใจสำคัญในการควบคุมความถี่และความรุนแรงของอาการได้เช่นกันค่ะ (3)
นี่เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยที่สุดค่ะ ในทางการแพทย์ปัจจุบัน ไมเกรนถูกจัดเป็นภาวะเรื้อรัง ซึ่งหมายความว่า ยังไม่มีวิธีการใดที่สามารถการันตีว่าจะทำให้หายขาดได้ 100% แต่เป้าหมายสำคัญของการดูแลคือ “การควบคุมอาการ” ให้ได้ดีที่สุด ซึ่งรวมถึงการลดความถี่ในการปวด, ลดความรุนแรงของอาการเมื่อเกิดขึ้น, และลดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงานร่วมกับแพทย์เพื่อวางแผนการดูแลที่เหมาะสมกับตัวเอง ทั้งการใช้ยาและการปรับพฤติกรรม คือแนวทางที่ดีที่สุดค่ะ (5)
ใช่ค่ะ ไมเกรนมีแนวโน้มที่จะถ่ายทอดทางพันธุกรรม ผู้ป่วยไมเกรนมากถึง 80% มีญาติสายตรงลำดับแรกเป็นโรคนี้ (5)
การเลือกใช้ สมุนไพรแก้ไมเกรน อย่างฟีเวอร์ฟิว, ขิง, หรือการเสริมด้วยแร่ธาตุอย่างแมกนีเซียม อาจเป็นทางเลือกเสริมที่น่าสนใจในการช่วยบรรเทาและดูแลอาการปวดศีรษะไมเกรน ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เช่น การนอนหลับให้เพียงพอ, การจัดการความเครียด, และการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีแก้ไมเกรนด้วยตัวเองที่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการประเมินและคำแนะนำที่เหมาะสมกับสุขภาพของแต่ละบุคคล เพื่อให้คุณสามารถจัดการกับไมเกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้ที่: แมกนีเซียม
*บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการให้คำแนะนำทางการแพทย์, การวินิจฉัย, หรือการรักษา หากมีข้อกังวลหรือคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเสมอ
