Astaxanthin ใน Krill Oil ขุมพลังแห่งท้องทะเลเพื่อสุขภาพที่ดี

Astaxanthin ใน Krill Oil ขุมพลังแห่งท้องทะเลเพื่อสุขภาพที่ดี

ในโลกของสารอาหารจากท้องทะเลที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางสุขภาพ Astaxanthin ใน Krill Oil ถือเป็นหนึ่งในขุมพลังที่ธรรมชาติมอบให้กับมนุษย์อย่างแท้จริง สารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอดนี้ไม่เพียงช่วยปกป้องเซลล์จากความเสื่อมโทรม แต่ยังทำงานร่วมกับกรดไขมัน Omega-3 และ Phospholipids ใน krill oil เพื่อเสริมสร้างสุขภาพหัวใจ สมอง และระบบภูมิคุ้มกันอย่างครบวงจร

Astaxanthin ใน Krill Oil  ขุมพลังแห่งท้องทะเลเพื่อสุขภาพที่ดี

ในบทความนี้ เราจะพาไปดูกันว่า Astaxanthin ใน Krill Oil นั้น มีความแตกต่างจากแหล่งอื่น ซึ่งเราจะพามาไขข้อข้องใจ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงคุณค่าและศักยภาพของสารต้านอนุมูลอิสระชนิดนี้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงคุณค่าและศักยภาพของสารต้านอนุมูลอิสระชนิดนี้มากยิ่งขึ้น

1. อยู่ในรูปแบบเอสเทอร์ ดูดซึมได้ดีกว่า

Astaxanthin ใน Krill Oil ส่วนใหญ่อยู่ในรูป Astaxanthin Ester ซึ่งเป็นรูปแบบที่จับกับกรดไขมันตามธรรมชาติ ทำให้ละลายในไขมันได้ดีขึ้นและร่างกายสามารถดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แตกต่างจาก Free Astaxanthin ที่พบในสาหร่ายฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส (Haematococcus pluvialis) ซึ่งละลายในไขมันได้ยากกว่า (2)

2. ทำงานร่วมกับฟอสโฟลิปิด เพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึม

Krill Oil อุดมไปด้วย ฟอสโฟลิปิด (Phospholipid) ซึ่งช่วยให้ Astaxanthin ซึมเข้าสู่เยื่อหุ้มเซลล์ได้ง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับ Astaxanthin ที่พบในแหล่งอื่น เช่น น้ำมันปลา หรือ น้ำมันจากพืช ที่อยู่ในรูปไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการย่อยก่อนที่ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ได้ (1)

3. ต้านอนุมูลอิสระได้ทรงพลังขึ้น

แม้ว่า Astaxanthin จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรงอยู่แล้ว แต่เมื่ออยู่ใน Krill Oil ก็ได้รับการเสริมฤทธิ์จากฟอสโฟลิปิดและกรดไขมันโอเมก้า-3 ทำให้ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายของอนุมูลอิสระได้ดียิ่งขึ้น

4. มีความคงตัวสูง ไม่เสื่อมสภาพง่าย

แอสตาแซนธินช่วยยับยั้งการเกิดออกซิเดชันของกรดไขมันและช่วยให้รักษาผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีเสถียรภาพภายในแคปซูลได้  จากการศึกษาพบว่า น้ำมันคริลล์ ถูกเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส (104 องศาฟาเรนไฮต์) เป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่าค่าเปอร์ออกไซด์เพิ่มขึ้นเมื่อมีการออกซิไดซ์กรดไขมันในผลิตภัณฑ์ที่ทดสอบ กราฟแสดงให้เห็นว่าไม่มีการเกิดออกซิเดชันในตัวอย่างทดสอบน้ำมันคริลล์ (3)

การทานน้ำมันคริลล์ทุกวันปลอดภัยหรือไม่?

จากการศึกษาวิจัยพบว่าการรับประทานน้ำมันคริลล์ 500 มก. ทุกวันจะช่วยให้คุณมีสุขภาพแข็งแรง ในกรณีที่ไม่มีโรคประจำตัว อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงในระยะยาวควรรับประทานน้ำมันคริลล์ 1,000 มก. แต่หากมีระดับคอเลสเตอรอลสูงหรือมีอาการปวดข้อ ไม่ควรกินเกิน 2,000 มก. ต่อวัน (7)

น้ำมันคริลล์ประกอบด้วยอะไรบ้าง?

คริลล์มีน้ำมันชนิดหนึ่งที่คล้ายกับน้ำมันที่พบในน้ำมันปลา นั่นก็คือกรดไขมันโอเมก้า 3 กรดไขมันโอเมก้า 3 แนะนำให้ใช้เพื่อลดระดับไตรกลีเซอไรด์ การใช้คริลล์ออยล์เป็นอาหารเสริมเพื่อลดไขมันในเลือดกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ยังประกอบด้วย กรดไขมันที่ได้จากฟอสโฟลิปิด (PLFA) ซึ่งอาจส่งผลให้ดูดซึมได้ดีขึ้น และเลธิซินจากทะเล2 รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระประเภทแคโรทีนอยด์ที่เรียกว่าแอสตาแซนธิน สารต้านอนุมูลอิสระจะยับยั้งการเกิดออกซิเดชันและอาจช่วยต่อต้านฤทธิ์ออกซิเดชันของอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ในเนื้อเยื่อของร่างกายที่อาจนำไปสู่โรคได้ (5)

น้ำมันคริลล์ดีต่อตับหรือไม่?

การศึกษาในหนูทดลองแสดงให้เห็นว่า น้ำมันคริลล์ (Krill Oil หรือ KO) ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและเมตาบอลิกได้ เมื่อหนูที่กินอาหารไขมันสูงเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ได้รับน้ำมันคริลล์เสริมในอาหาร พบว่าน้ำมันคริลล์ช่วยลดปริมาณไขมันและคอเลสเตอรอลในตับ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อสุขภาพของตับ และช่วยป้องกันภาวะไขมันพอกตับ (6)

สรุป

Astaxanthin ใน Krill Oil มีข้อได้เปรียบในด้าน การดูดซึมที่ดีกว่า เพราะอยู่ในรูปแบบเอสเทอร์และทำงานร่วมกับฟอสโฟลิปิด ทำให้ร่างกายนำไปใช้ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีความคงตัวสูงและเสริมฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดี 

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

Skip to content