ในปัจจุบันสารสกัดจากธรรมชาติ “Krill Oil” หรือ “น้ำมันคริลล์” กำลังได้รับความสนใจไม่น้อย ด้วยคุณสมบัติเด่นที่มาจากสัตว์ทะเลตัวเล็ก ๆ อย่างคริลล์
ไขข้อสงสัย Krill oil คืออะไร ประโยชน์สุดแจ๋วจากทะเลที่คุณต้องรู้
Krill oil คือ น้ำมันคริลล์ที่ผ่านกระบวนสกัด ซึ่งกระบวนการสกัดน้ำมัน Krill ส่วนใหญ่จะเป็นการสกัดเย็นเพราะกระบวนการสกัดเย็นทำให้คงคุณค่าของสารอาหารไว้ได้ใกล้เคียงกับการกินสด ๆ มากที่สุด
Krill คือ สัตว์ทะเลที่มีลักษณะคล้ายกุ้งแต่จะมีขนาดเล็กกว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในอันดับแรก ๆ ของห่วงโซ่อาหาร เป็นสัตว์ที่กินแพลงก์ตอนพืชขนาดเล็ก คริลล์แอนตาร์กติกถือว่าเป็นสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก และยังเป็นอาหารหลักของสัตว์หลายชนิดในบริเวณนั้น เช่น วาฬ แมวน้ำ นกเพนกวิน เป็นต้น โดยคลิลล์ ที่เป็นที่นิยม จะถูกเรียกว่า คริลล์แอนตาร์กติก (Antarctic krill) ส่วนใหญ่มีแหล่งกำเนิดมาจากมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือและน้ำที่ล้อมรอบทวีปแอนตาร์กติกา (1) มีสารประกอบที่ดีต่อสุขภาพมากมาย ได้แก่
1.โอเมก้า-3 (EPA และ DHA)
กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids): เป็นสารอาหารที่สำคัญมากในน้ำมันคริลล์ โดยเฉพาะ EPA (Eicosapentaenoic acid) และ DHA (Docosahexaenoic acid) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการลดการอักเสบในร่างกาย (2) ช่วยบำรุงสมองและหัวใจ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
2.แอสตาแซนธิน (Astaxanthin)
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีสีแดงสด ซึ่งเป็นสารที่ให้สีสันแก่คริลล์ ซึ่งพบได้ในสาหร่ายและสัตว์ทะเลบางชนิด โดยแอสตาแซนทินมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย และลดการอักเสบ การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าอาจช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคทางสมอง และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวและต้านการอักเสบอีกด้วย (3)
3.ฟอสโฟลิปิด (Phospholipids):
ฟอสโฟลิปิด มีบทบาทสำคัญต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น ช่วยให้เซลล์ทำงานได้ดีขึ้น ลดการอักเสบ และอาจช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้ สามารถซ่อมแซมเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้เซลล์แข็งแรงขึ้น และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ฟอสโฟลิปิดยังช่วยในการดูดซึมสารอาหารอื่นๆ เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้นอีกด้วย (4)
น้ำมันปลาและน้ำมันคริลล์ต่างกันอย่างไร?
น้ำมันคริลล์ และ น้ำมันปลา ต่างก็เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ดีต่อสุขภาพ แต่มีโครงสร้างและคุณสมบัติแตกต่างกัน น้ำมันคริลล์มีโอเมก้า-3 ในรูปแบบที่ร่างกายดูดซึมได้ง่ายกว่า และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่า (5) ทำให้มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าในหลายด้าน เช่น บำรุงหัวใจ ลดการอักเสบ และบำรุงผิวพรรณ
ใครบ้างที่ไม่ควรทานน้ำมันคริลล์?
- ผู้ที่แพ้กุ้งหรืออาหารทะเล: เนื่องจากน้ำมันคริลล์สกัดมาจากกุ้งเคย ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง ดังนั้นผู้ที่แพ้กุ้งหรืออาหารทะเลประเภทครัสเตเชียน (เช่น ปู กุ้ง) อาจเกิดอาการแพ้ได้
- ผู้ที่กำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้
- สตรีมีครรภ์ และให้นมบุตร
- ผู้ป่วยโรคตับ โรคไต หรือผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทาน
น้ำมันคริลล์สกัดออกมาอย่างไร
การผลิตน้ำมันคริลล์ เริ่มต้นจากการจับคริลล์ตัวเล็กๆ จากน้ำทะเลแอนตาร์กติก จากนั้น คริลล์จะถูกนำไปแปรรูปทันทีบนเรือเพื่อรักษาคุณค่าทางอาหารให้คงอยู่ ขั้นตอนต่อไป คือ การสกัดน้ำมันโดยวิธีเย็น ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ตัวทำละลายพิเศษดึงน้ำมันออกจากตัวคริลล์ หลังจากนั้น น้ำมันดิบที่ได้จะถูกนำไปกลั่นและทำความสะอาด เพื่อขจัดสิ่งเจือปนต่างๆ จนได้น้ำมันคริลล์บริสุทธิ์นั่นเองค่ะ (6)
น้ำมันคริลล์ แพ้กุ้งทานได้มั้ย
สำหรับผู้ที่แพ้กุ้ง ไม่แนะนำให้ทานน้ำมันคริลล์ค่ะ เนื่องจากน้ำมันคริลล์สกัดมาจากจาก “คริลล์” ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลตัวเล็กจำพวกครัสเตเชียนเช่นเดียวกับกุ้ง ดังนั้น ผู้ที่แพ้กุ้งจึงมีโอกาสสูงที่จะแพ้น้ำมันคริลล์ด้วยเช่นกัน ซึ่งอาการแพ้อาจรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการทานน้ำมันคริลล์และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคริลล์ทุกชนิดนะคะ
สรุป
Krill Oil คือน้ำมันจากสัตว์ทะเลตัวเล็กที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงหัวใจ สมอง ผิวพรรณ หรือบรรเทาอาการปวดข้อ ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงไม่แปลกที่ Krill Oil จะกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับคนรักสุขภาพ หากคุณกำลังมองหาวิธีเสริมสร้างสุขภาพที่ยั่งยืน Krill Oil คือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้าม!
แหล่งอ้างอิง
1.ประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำมันคาร์ริลล์
2.ประโยชน์ต่อสุขภาพ 5 ประการของกรดไขมันโอเมก้า 3
3.ประโยชน์ต่อสุขภาพของแอสตาแซนธิน
4.ผลกระทบต่อสุขภาพของฟอสโฟลิปิดในอาหาร| ห้องสมุดการแพทย์แห่งชาติ NIH
5.ประโยชน์ของน้ำมันคาร์ริลล์เมื่อเทียบกับน้ำมันปลา