ในปัจจุบัน สุขภาพลำไส้และระบบย่อยอาหารได้รับความสนใจอย่างมาก โดยหนึ่งในตัวช่วยที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบย่อยและการดูดซึมสารอาหารในร่างกายก็คือ “Probiotic” และ “Prebiotic” สารทั้งสองชนิดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างสมดุลให้กับระบบย่อยอาหาร และยังเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายครับ
รู้จัก Probiotic Prebiotic คือ อะไรพร้อม 7 ประโยชน์ที่ควรรู้
เคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไมบางคนถึงดูสุขภาพดี แข็งแรง มีพลังตลอดเวลา? วันนี้เราจะพามาแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับ probiotic prebiotic คือ อะไร ซึ่งสองตัวนี้แหละที่จะช่วยบำรุงลำไส้ของเราให้แข็งแรง ทำให้ร่างกายแข็งแรงไปด้วย ลองมาดูกันว่าสองตัวนี้ดียังไง ลองไปดูกันเลยครับ
โปรไบโอติกส์ คือ แบคทีเรียดีๆ ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของเรา ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เราสามารถหาโปรไบโอติกส์ได้จากอาหารหมักดองต่างๆ เช่น โยเกิร์ต กิมจิ หรือมิโซะ
ส่วน พรีไบโอติกส์ คือ อาหารของโปรไบโอติกส์นั่นเองครับ เป็นเหมือนปุ๋ยที่ช่วยให้โปรไบโอติกส์เจริญเติบโตได้ดีขึ้น พรีไบโอติกส์ส่วนใหญ่เป็นใยอาหารที่ร่างกายของเราไม่สามารถย่อยได้ แต่จะถูกย่อยสลายโดยโปรไบโอติกส์ในลำไส้ใหญ่ เราสามารถหาพรีไบโอติกส์ได้จากผักผลไม้ที่มีใยอาหารสูง เช่น กล้วย หัวหอม กระเทียม และแอปเปิ้ล
ทำไมโปรไบโอติกส์และพรีไบโอติกส์ถึงสำคัญ?
เมื่อโปรไบโอติกส์และพรีไบโอติกส์ทำงานร่วมกัน จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้อีกด้วย
ประโยชน์ของ Probiotic และ Prebiotic ที่ควรรู้
1.ช่วยปรับสมดุลของลำไส้
probiotic prebiotic คือ เป็นตัวช่วยสำคัญในการเสริมแบคทีเรียดีในลำไส้ เมื่อแบคทีเรียดีเติบโตและแข็งแรงขึ้น จะช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิดโรค จุลินทรีย์ดีเหล่านี้จะสร้างสภาวะที่เหมาะสมในลำไส้ ช่วยในการย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหาร และทำให้ระบบการย่อยมีความสมดุลมากขึ้น ลดโอกาสการเกิด ท้องอืด อาหารไม่ย่อย (1)
2.บรรเทาอาการท้องผูกและท้องเสีย
Probiotic ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการเสริมจุลินทรีย์ดีให้แข็งแรง ทำให้ลดโอกาสการเกิดท้องผูกได้ ในกรณีของอาการท้องเสีย จุลินทรีย์ดียังช่วยฟื้นฟูการทำงานของลำไส้ ลดการเกิดอาการท้องเสียได้อีกทางหนึ่งครับ (2)
3.เสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย
ภูมิคุ้มกันของร่างกายเรามีความเกี่ยวข้องกับระบบลำไส้มากกว่าที่เราคิด เมื่อจุลินทรีย์ดีอยู่ในสภาพที่สมดุล ระบบภูมิคุ้มกันของเราจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่าเดิม จึงลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยหรือการติดเชื้อได้ รวมถึงช่วยลดการอักเสบที่อาจเกิดจากเชื้อโรคในระบบย่อยอาหารด้วยครับ (7)
4.ลดความเสี่ยงต่อโรคลำไส้อักเสบ
การอักเสบในลำไส้มักเกี่ยวข้องกับการขาดสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ Probiotic และ Prebiotic มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดการอักเสบของผนังลำไส้ จึงช่วยลดโอกาสการเกิดโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง เช่น โรค Crohn’s หรือโรค Irritable Bowel Syndrome (IBS) การรับประทานอาหารที่มี Probiotic และ Prebiotic เป็นประจำจะช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบลำไส้ และลดการอักเสบที่อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องหรือความผิดปกติในระบบย่อยอาหารได้ครับ (3)
5.ควบคุมน้ำหนัก
การเสริม prebiotic และ probiotic จะช่วยเพิ่มการย่อยและดูดซึมสารอาหาร โดยเฉพาะไขมันและคาร์โบไฮเดรต ทำให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ซึ่งจะลดความอยากอาหารและการกินจุบจิบ นอกจากนี้ยังช่วยให้ร่างกายมีสมดุลทางฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกอิ่มหรือความหิว ทำให้การควบคุมน้ำหนักง่ายขึ้น ลดโอกาสของการสะสมไขมันส่วนเกินในร่างกายครับ (5)
6.ช่วยปรับสมดุลอารมณ์
สุขภาพลำไส้มีความสัมพันธ์กับสุขภาพจิตและอารมณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการผลิตสารเซโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทต่อการปรับอารมณ์ จุลินทรีย์ดีในลำไส้ช่วยเพิ่มการผลิตสารเซโรโทนิน ส่งผลให้อารมณ์คงที่ ลดความเครียดและความวิตกกังวล การเสริม Probiotic และ Prebiotic ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะซึมเศร้าและปัญหาด้านอารมณ์ที่อาจเกิดจากการทำงานผิดปกติของลำไส้ครับ (1)
7.ส่งเสริมการดูดซึมสารอาหาร
เมื่อระบบย่อยอาหารทำงานอย่างสมดุล ร่างกายจะสามารถดูดซึมสารอาหารได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น Probiotic ช่วยย่อยสลายสารอาหารบางอย่าง ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะวิตามินบี และแร่ธาตุสำคัญ เช่น แคลเซียมและแมกนีเซียม ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมและลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจากการขาดสารอาหารครับ (6)
พรีไบโอติก ธรรมชาติ มีอะไรบ้าง
Prebiotic ธรรมชาติ หาได้จากใยอาหารในผักผลไม้หลากชนิด เช่น หัวหอม กระเทียม แอปเปิล กล้วย และธัญพืชไม่ขัดสี อย่างข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต รวมถึงพืชตระกูลถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วดำ ด้วยการรับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำ จะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียดีในลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และยังมีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพโดยรวมของร่างกายอีกด้วย
พรีไบโอติกกับโพรไบโอติกกินพร้อมกันได้ไหม
การทานพรีไบโอติกและโปรไบโอติกไปพร้อมกันนั้นถือเป็นการเสริมสร้างสุขภาพลำไส้ให้สมดุลได้เป็นอย่างดีครับ เนื่องจากพรีไบโอติกจะทำหน้าที่เป็นอาหารบำรุงโปรไบโอติก ช่วยให้โปรไบโอติกทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ใครบ้างไม่ควรทานโปรไบโอติกส์หรือพรีไบโอติกส์?
คนที่ไม่ควรทาน probiotic prebiotic คือ คนที่เป็นโรคแบคทีเรียเจริญมากเกินไปในลำไส้เล็ก (SIBO) หรือโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) ไม่ควรกินโปรไบโอติกส์หรือพรีไบโอติกส์ เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาใหม่ในปี 2023 (4) แสดงให้เห็นว่าโปรไบโอติกส์บางสายพันธุ์อาจช่วยบรรเทาอาการ IBS ได้ ดังนั้น หากคุณเป็นโรค IBS ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อประเมินว่าโปรไบโอติกส์เหมาะสมกับคุณหรือไม่
แหล่งอ้างอิง
1.โปรไบโอติกส์และพรีไบโอติกส์แตกต่างกันอย่างไร?
3.ผลของโปรไบโอติก พรีไบโอติก และซินไบโอติกต่อสุขภาพของมนุษย์ | ห้องสมุดการแพทย์แห่งชาติ NIH
4.ประสิทธิภาพของโปรไบโอติกในโรคลำไส้แปรปรวน | ห้องสมุดการแพทย์แห่งชาติ NIH
7.ผลกระทบของโปรไบโอติกและพรีไบโอติกต่อระบบภูมิคุ้มกัน| ห้องสมุดการแพทย์แห่งชาติ NIH