อาการปวดศีรษะแบบตุบๆ ที่ข้างใดข้างหนึ่ง จนบางครั้งก็รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ อาจเป็นไปได้ว่านี่คือสัญญาณของ “ไมเกรน” ซึ่งเป็นมากกว่าแค่อาการปวดหัวธรรมดา แต่เป็นภาวะทางระบบประสาทที่ซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก การทำความเข้าใจ ไมเกรน อาการ และลักษณะเฉพาะของโรคนี้ คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการรับมือและดูแลตัวเองได้อย่างถูกวิธี
ไมเกรน อาการ แบบไหน? 10 สัญญาณเตือน พร้อมวิธีรับมือ
หลายคนอาจยังสับสนระหว่างอาการปวดหัวทั่วไปกับ ไมเกรน อาการ ที่มีความซับซ้อนและลักษณะเฉพาะตัวมากกว่า เพื่อให้คุณสามารถสังเกตและเข้าใจร่างกายของตัวเองได้ดีขึ้น โปรทริว่าได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาการไมเกรนในระยะต่างๆ ซึ่งโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะหลัก ตามเกณฑ์การจำแนกสากล แม้ว่าบางคนอาจไม่ได้มีอาการครบทุกระยะก็ตาม
ระยะที่ 1: ระยะอาการนำ (Prodrome)
เป็นสัญญาณเตือนที่อาจเกิดขึ้นก่อนอาการปวดศีรษะไมเกรนจะเริ่มต้นขึ้น 1-2 วัน อาการในระยะนี้อาจมีความหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ประมาณร้อยละ 60 ของผู้ป่วยไมเกรนจะสังเกตเห็นอาการต่างๆ ดังนี้ (4)
1.อารมณ์แปรปรวน: รู้สึกซึมเศร้า หรือในทางกลับกันอาจรู้สึกกระปรี้กระเปร่าผิดปกติ
2.ความอยากอาหาร: อยากทานอาหารบางชนิดเป็นพิเศษ รู้สึกหิวมากขึ้น หรืออาจรู้สึกไม่อยากกินอะไรมากนัก
3.อาการเมื่อยล้า:อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ และอาจหาวบ่อยด้วย
4.รู้สึกกระหายน้ำและปัสสาวะบ่อยขึ้น
5.ภาวะไวต่อสิ่งกระตุ้น: รู้สึกไวต่อแสงจ้า เสียงดัง หรือกลิ่นต่างๆ มากขึ้น
ระยะที่ 2: ระยะออร่า (Aura)
ร้อยละ 25 ของผู้ป่วยไมเกรนมักจะมีอาการนำที่เรียกว่า ออร่า ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางระบบประสาทที่แสดงออกผ่านการมองเห็นเป็นหลัก โดยอาการเหล่านี้จะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายใน 5-20 นาที ก่อนที่อาการปวดศีรษะจะเริ่มขึ้น หรือเกิดขึ้นพร้อมกัน และจะค่อยๆ จางหายไปเองภายในหนึ่งชั่วโมง (4)
6.การมองเห็นผิดปกติ: เห็นจุดดำ เส้นหยัก แสงแฟลช หรือการมองเห็นเป็นอุโมงค์
7.อาการชา: รู้สึกชาที่บริเวณใบหน้า แขน หรือขา ข้างใดข้างหนึ่ง
8.การพูดลำบาก: รู้สึกพูดติดขัด หรือนึกคำพูดไม่ออก
ระยะที่ 3: ระยะปวดศีรษะ (Attack)
เป็นระยะที่อาการปวดเด่นชัดที่สุด และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คุณภาพชีวิตลดลง โดยอาการปวดไมเกรนมีลักษณะเฉพาะคือ:
9.ปวดศีรษะข้างเดียว: ส่วนใหญ่มักเริ่มจากข้างใดข้างหนึ่ง แต่อาจย้ายข้างหรือปวดทั้งสองข้างได้
10.ปวดแบบตุบๆ: รู้สึกเหมือนมีชีพจรกำลังเต้นอยู่ในศีรษะ
- อาการอื่นๆ ที่พบร่วม: คลื่นไส้ อาเจียน และไวต่อแสง เสียง หรือกลิ่นอย่างรุนแรง (1)
ระยะนี้หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจคงอยู่ได้ตั้งแต่ 4 ชั่วโมงไปจนถึง 72 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ระยะที่ 4: ระยะหลังปวด (Postdrome)
ผู้ป่วยไมเกรนบางรายอาจต้องใช้เวลาถึง 8-72 ชั่วโมงเพื่อผ่านขั้นตอนอาการทั้งหมด โดยเฉพาะใน ระยะหลังอาการ (postdrome phase) ที่อาจกินเวลานานหลายชั่วโมงไปจนถึง 48 ชั่วโมง อาการในระยะนี้คล้ายคลึงกับอาการเมาค้างจากการดื่มแอลกอฮอล์ จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกที่ว่า “migraine hangover” (2)
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นไมเกรน?
คำถามสำคัญคือ แล้วเราจะแยกอาการปวดหัวธรรมดาออกจากไมเกรนได้อย่างไร? จุดสังเกตสำคัญคือ ไมเกรน อาการ มักจะมาเป็น “แพ็กเกจ” ไม่ใช่แค่ปวดหัวเฉยๆ แต่มีอาการในระยะต่างๆ ร่วมด้วย โดยเฉพาะอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือการไวต่อแสงและเสียงอย่างรุนแรง หากคุณมีอาการปวดหัวซ้ำๆ ที่รบกวนการใช้ชีวิต การจดบันทึกอาการ (Headache Diary) เพื่อสังเกตความถี่ รูปแบบ และอาการร่วมต่างๆ จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการปรึกษาแพทย์เพื่อรับการประเมินที่ถูกต้อง (4)
ไมเกรน สาเหตุ เกิดจากอะไรได้บ้าง?
ในทางวิทยาศาสตร์ แม้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของไมเกรนจะยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยทางพันธุกรรมมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง เมื่ออาการปวดศีรษะกำเริบ เส้นประสาทที่เจาะจงในหลอดเลือดจะส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังสมอง ซึ่งกระตุ้นให้มีการปล่อย สารก่อการอักเสบ ออกมาสู่เส้นประสาทและหลอดเลือดบริเวณศีรษะ อย่างไรก็ตาม กลไกที่ทำให้เส้นประสาทตอบสนองเช่นนั้นยังคงเป็นปริศนาที่ต้องค้นคว้าต่อไปค่ะ (2) โดยพบว่า ผู้ป่วยไมเกรน 4 ใน 5 คนมีสมาชิกในครอบครัวเป็นไมเกรน หากพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งมีประวัติปวดศีรษะประเภทนี้ โอกาสเกิดไมเกรนจะอยู่ที่ 50% แต่ถ้าพ่อหรือแม่เป็นไมเกรนทั้งคู่ ความเสี่ยงจะเพิ่มเป็น 75% (4)
วิธีแก้ไมเกรนด้วยตัวเอง และแนวทางการดูแลเบื้องต้น
การรับมือกับไมเกรนที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและจัดการปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ซึ่งมีหลายวิธีที่เราสามารถทำได้ด้วยตนเองเพื่อบรรเทาความรุนแรงและลดความถี่ของอาการ (4)
- พักผ่อนในที่เงียบและมืด: เมื่อรู้สึกว่า อาการไมเกรน เริ่มต้นขึ้น การหลบไปพักในห้องที่เงียบสงบและไม่มีแสงรบกวน สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ดีมาก
- ประคบเย็น: การใช้ผ้าเย็นหรือเจลแพ็คประคบบริเวณหน้าผาก ขมับ หรือต้นคอ อาจช่วยให้รู้สึกดีขึ้น
- ดื่มน้ำมาก ๆ
- การนวดเบาๆ บริเวณคอ หนังศีรษะ หรือขมับ
- ทำสมาธิ: ผ่อนคลาย
- หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น: สังเกตและจดบันทึกว่าอะไรคือสิ่งกระตุ้นของคุณและพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น (2)
ปวดหัวไมเกรน กินอะไร และควรเลี่ยงอะไร?
เรื่องอาหารการกินก็เป็นส่วนสำคัญในการดูแลตัวเองเมื่อมีอาการไมเกรน แม้จะไม่มีอาหารชนิดใดที่สามารถหยุดอาการได้ทันที แต่การเลือกรับประทานอาจช่วยสนับสนุนให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้
- สิ่งที่ควรทาน (6)
- น้ำเปล่า
- กล้วย
- ดาร์กช็อกโกแลต
- ผักโขม
- ชาสมุนไพร
- แตงโม
- สตรอว์เบอร์รี
- สิ่งที่ควรระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยง (5)
- อาหารที่มีไทรามีนเช่น ชีสเก่า (เช่น บลูชีสหรือพาร์เมซาน) ปลารมควัน และไวน์คิอานติ
- แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์แดง
- คาเฟอีน ซึ่งมีอยู่ในกาแฟ ชา โคล่า และโซดาชนิดอื่นๆ
- อาหารที่ทำด้วยไนเตรต เช่น เปปเปอร์โรนี ฮอทดอก และเนื้อสัตว์สำหรับทำอาหารกลางวัน
- ผลไม้แห้ง
- มันฝรั่งทอด
- พิซซ่า ถั่วลิสง และตับไก่
- ขนมปังและเบเกอรี่อื่นๆ ที่ใช้ยีสต์ เช่น ขนมปังซาวร์โดว์ เบเกิล โดนัท และเค้กกาแฟ
- ช็อคโกแลต
- ผลิตภัณฑ์นมที่ผ่านการเพาะเลี้ยง (เช่น โยเกิร์ตและคีเฟอร์)
- ผลไม้หรือน้ำผลไม้ เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว ผลไม้แห้ง กล้วย ราสเบอร์รี่ พลัมแดง มะละกอ เสาวรส มะกอก อินทผาลัม และอะโวคาโด
ไมเกรนสามารถป้องกันได้ไหม?
ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันไมเกรนได้ทั้งหมด แต่คุณสามารถ ลดความถี่และความรุนแรง ของอาการได้ โดยการรับประทาน ยาป้องกันไมเกรน ตามคำแนะนำของแพทย์ และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือการ เรียนรู้และหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น ซึ่งการปรึกษาแพทย์จะช่วยให้คุณเข้าใจและรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น (2)
อาการแบบไหนควรไปพบแพทย์ ?
โดยทั่วไปแล้ว ไมเกรนไม่ใช่ภาวะที่อันตรายถึงชีวิต แต่เป็นภาวะเรื้อรังที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการปวดศีรษะในลักษณะต่อไปนี้ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะอื่นที่รุนแรงกว่าได้ (1)
- ปวดหัวรุนแรงอย่างฉับพลันเหมือนโดนฟ้าผ่า
- ปวดหัวร่วมกับมีไข้ คอแข็ง สับสน ชัก หรือมองเห็นภาพซ้อน
- อาการปวดหัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากการบาดเจ็บที่ศีรษะ
- มีอาการปวดหัวแบบใหม่ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะเมื่ออายุเกิน 50 ปี
สรุป
ไมเกรน อาการ นั้นมีความซับซ้อนและแตกต่างจากอาการปวดหัวทั่วไป การทำความเข้าใจระยะต่างๆ ของโรค ตั้งแต่สัญญาณเตือนเริ่มแรกไปจนถึงอาการหลังปวดสงบ จะช่วยให้เราสามารถเตรียมพร้อมและรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจดบันทึกเพื่อค้นหาสิ่งกระตุ้นเฉพาะของตนเอง ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การนอนหลับ การจัดการความเครียด และการเลือกรับประทานอาหาร นับเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลตัวเองเพื่อลดผลกระทบของไมเกรนและส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นในระยะยาว
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้ที่: แมกนีเซียม