การบริจาคโลหิต เปรียบเสมือนการมอบของขวัญล้ำค่าที่ช่วยต่อชีวิตให้กับผู้ป่วยในภาวะวิกฤต เป็นการทำความดีที่เริ่มต้นได้ง่ายๆ ที่ตัวเรา แต่หลายคนอาจยังมีคำถามหรือความกังวลใจ โดยเฉพาะเรื่องเกณฑ์อายุและคุณสมบัติพื้นฐานว่า อายุเท่าไหร่ บริจาคเลือดได้ ในบทความนี้จะมาไขทุกข้อสงสัย พร้อมแนะแนวทางการเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อให้การให้ของคุณในครั้งนี้ราบรื่นที่สุดค่ะ
บริจาคเลือดต้องอายุเท่าไหร่? พร้อมเปิดคู่มือเตรียมตัวฉบับสมบูรณ์
หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยที่สุดคือ อายุเท่าไหร่ บริจาคเลือดได้ ซึ่งเป็นด่านแรกที่ต้องพิจารณา สำหรับเกณฑ์อายุในประเทศไทยตามมาตรฐานของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยนั้น มีรายละเอียดที่ชัดเจน ดังนี้ค่ะ- ผู้บริจาคครั้งแรก: ต้องมีอายุระหว่าง 17 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์
- อายุ 17 ปีบริบูรณ์: สำหรับน้องๆ ที่อายุ 17 ปีบริบูรณ์ สามารถบริจาคโลหิตได้ แต่จำเป็นต้องมีหนังสือแสดงความยินยอมจากผู้ปกครองมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ทุกครั้ง
- ผู้บริจาคที่มีอายุมากกว่า 60-65 ปี และบริจาคต่อเนื่องมาตลอด ให้บริจาคได้ทุก 3 เดือน ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ หน่วยเคลื่อนที่ และภาคบริการโลหิตแห่งชาติ
- ผู้บริจาคที่มีอายุมากกว่า 65 -70 ปี และบริจาคต่อเนื่องมาตลอด ให้บริจาคได้ทุก 6 เดือน และต้องมีการตรวจนับจำนวนของเม็ดเลือดทุกชนิดทุกครั้ง ไม่รับบริจาคในหน่วยเคลื่อนที่
คุณสมบัติสำคัญและข้อห้ามที่ควรรู้ ก่อนไปบริจาคเลือด
นอกเหนือจากเกณฑ์อายุแล้ว ยังมีคุณสมบัติและเงื่อนไขอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้ได้มาซึ่งโลหิตที่ปลอดภัยสูงสุดสำหรับผู้ป่วย และเพื่อความปลอดภัยของผู้บริจาคเอง มาดูกันค่ะว่าคนแบบไหนที่อาจจะยังบริจาคเลือดไม่ได้ หรือมีข้อห้ามอะไรบ้าง- น้ำหนัก: ผู้บริจาคต้องมีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป ดังนั้นสำหรับผู้ที่ น้ำหนักน้อยกว่า 45 บริจาคเลือดได้ไหม คำตอบคือยังไม่สามารถบริจาคได้ค่ะ เนื่องจากปริมาณเลือดในร่างกายอาจไม่เพียงพอ และอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการบริจาคได้ง่าย
- ต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีอาการเจ็บป่วยใดๆ ในวันที่มาบริจาค เช่น ไม่มีไข้ ไอ เจ็บคอ หรือท้องเสีย
- ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 5-6 ชั่วโมงในคืนก่อนวันบริจาค เพื่อให้ร่างกายสดชื่นและไม่รู้สึกอ่อนเพลีย
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงก่อนบริจาคโลหิต
- อุดฟัน ขูดหินปูน เว้น 3 วัน ถ้าเป็นการถอนฟันหรือรักษารากฟัน เว้น 7 วัน
- เจาะหู ผิวหนัง สัก ลบรอยสัก ฝังเข็ม เว้น 4 เดือน
- ผ่าตัดเล็ก เว้น 7 วัน กรณีผ่าตัดใหญ่ เว้น 6 เดือน
- กรณีอยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ไม่ควรบริจาคเลือดค่ะ
- เดินทางหรือพำนักในพื้นที่ที่มีเชื้อมาลาเรียชุกชุมในระยะ 1 ปี หรือเคยป่วยเป็น โรคมาลาเรียในระยะ 3 ปี
หาก กินพารา บริจาคเลือดได้ไหม?
โดยทั่วไปแล้ว หากรับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอล สามารถบริจาคโลหิตได้ค่ะ แต่ควรงดการใช้ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs เช่น Aspirin, Ibuprofen, Diclofenac อย่างน้อย 2-3 วันก่อนบริจาค และควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบถึงยาที่รับประทานทุกชนิดภาวะประจำเดือนบริจาคเลือดได้ไหม?
สามารถบริจาคได้ค่ะ หากร่างกายรู้สึกสบายดี ไม่มีอาการปวดท้องรุนแรง หรืออ่อนเพลีย และไม่ได้อยู่ในระหว่างรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อบรรเทาการติดเชื้อใดๆ ที่อาจเกี่ยวข้องโรคประจำตัวและภาวะเสี่ยง
ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคมะเร็ง โรคเลือดต่างๆ หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ และการใช้ยาเสพติดชนิดฉีด จะไม่สามารถบริจาคโลหิตได้เป็นการถาวรบริจาคเลือด เตรียมตัวอย่างไรให้พร้อม และได้ประโยชน์อะไรกลับมา?
การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้ประสบการณ์การบริจาคเลือดของคุณเป็นไปด้วยดี และยังช่วยลดโอกาสเกิดอาการข้างเคียงได้อีกด้วย ส่วนประโยชน์ที่ได้กลับมานั้นก็มีมากมายเกินกว่าที่เราคิดค่ะการเตรียมตัวก่อนบริจาค (บริจาคเลือด เตรียมตัว)
- ดื่มน้ำมากๆ: ควรดื่มน้ำเปล่า 3-4 แก้ว ก่อนบริจาคโลหิตประมาณ 30 นาที เพื่อให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นและช่วยลดภาวะขาดน้ำ
- รับประทานอาหาร: ควรรับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาค โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ข้าวมันไก่ ขาหมู ของทอด เพราะอาจทำให้พลาสมามีสีขาวขุ่นและไม่สามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยได้ อาหารที่เน้น เป็นพิเศษคือกลุ่มที่ให้ธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง และผักใบเขียวเข้ม เพื่อช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งเเรงและทดแทนธาตุเหล็กที่เสียไป
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ควรงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนบริจาค
- งดสูบบุหรี่: ควรงดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดทำงานได้อย่างเต็มที่
ประโยชน์ที่ได้จากการบริจาคเลือด (บริจาคเลือด ประโยชน์)
- ได้ตรวจสุขภาพเบื้องต้น: ทุกครั้งที่บริจาค จะมีการวัดความดันโลหิต ชีพจร และตรวจความเข้มข้นของเลือด ทำให้เราได้ตรวจสอบสุขภาพของตัวเองไปในตัว
- ส่งเสริมการทำงานของไขกระดูก: การบริจาคเลือดจะกระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดงใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทน ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
- ลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพ: มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าการบริจาคโลหิตเป็นประจำอาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะธาตุเหล็กเกิน และอาจมีความเชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
- ความภาคภูมิใจ: ที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกอิ่มใจที่ได้ทำบุญครั้งยิ่งใหญ่และได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์
บริจาคเลือด ใกล้ฉัน เพื่อส่งต่อ พร.ชายแดนไทย-กัมพูชา
เช็ควันเวลาทำการจุดรับบริจาคโลหิตได้ที่: สภากาชาดไทย Thai Red Cross Society ส่วนภูมิภาค- ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ คลิก https://redcross.to/3PWxeQp
- โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตแห่งชาติทั่วประเทศ คลิก https://redcross.to/4aDcxm5
สิทธิประโยชน์และการตรวจสอบข้อมูลการบริจาคเลือด
สภากาชาดไทยได้กำหนดสิทธิประโยชน์สำหรับผู้บริจาคโลหิตไว้เพื่อเป็นการขอบคุณ เช่น ผู้ที่บริจาคโลหิตครบ 7 ครั้งขึ้นไป จะได้รับการช่วยเหลือค่าห้องพิเศษและค่าอาหารพิเศษ, บริจาคครบ 24 ครั้งขึ้นไป จะได้รับการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยใน ณ โรงพยาบาลในสังกัดสภากาชาดไทย เป็นต้นสรุป
การบริจาคโลหิตเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ เพียงแค่เรามีอายุตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไป มีน้ำหนักตัว 45 กิโลกรัมขึ้นไป และมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ การเตรียมตัวที่ดีด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะทำให้การให้ครั้งนี้สมบูรณ์แบบและปลอดภัยทั้งต่อตัวผู้ให้และผู้รับ ดังนั้น หากคุณสมบัติพร้อม ร่างกายพร้อม และใจพร้อม ก็อย่าลังเลที่จะไปร่วมเป็นหนึ่งในผู้ให้ เพื่อส่งต่อของขวัญแห่งชีวิตให้กับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ ต่อไปค่ะ
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่: ไลฟ์สไตล์