วิธี ลดไขมันในเลือด ระดับสากลด้วย Therapeutic Lifestyle Changes

วิธี ลดไขมันในเลือด ระดับสากลด้วย Therapeutic Lifestyle Changes

ภาวะไขมันในเลือดสูงเป็นหนึ่งในความกังวลด้านสุขภาพที่หลายคนกำลังเผชิญ และมักถูกเชื่อมโยงกับความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาว หลายครั้งเมื่อพูดถึงการจัดการปัญหานี้ ผู้คนมักจะนึกถึงการใช้ยาเป็นอันดับแรก แต่ทราบหรือไม่ว่ามีอีกหนึ่งแนวทางที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและเน้นความยั่งยืน นั่นคือ Therapeutic Lifestyle Changes หรือ TLC ซึ่งเป็นโปรแกรมการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบองค์รวมที่ไม่ได้เน้นแค่ “การอด” แต่คือ “การเลือก” เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าในระยะยาว

ลดไขมันในเลือด ด้วย TLC

สำหรับแนวทาง Therapeutic Lifestyle Changes (TLC) ลดไขมันในเลือด นั้น ไม่ใช่แค่เทรนด์การดูแลสุขภาพที่เกิดขึ้นชั่วคราว แต่เป็นโปรแกรมที่ได้รับการออกแบบและแนะนำโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIH) โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยในการจัดการระดับคอเลสเตอรอลและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต 3 เสาหลัก ได้แก่ การรับประทานอาหาร (Diet), การจัดการน้ำหนัก (Weight Management), และการออกกำลังกาย (Physical Activity) ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและสามารถทำได้ด้วยตัวเองเพื่อส่งเสริมสุขภาวะที่ดีจากภายใน

หัวใจสำคัญของ TLC คืออะไร?

โปรแกรม TLC ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด แต่เน้นที่ความสม่ำเสมอและความเข้าใจในสิ่งที่ร่างกายต้องการ โดยมีหลักการสำคัญที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ดังนี้ค่ะ (2)

1. การปรับเปลี่ยนอาหาร (The TLC Diet)

การรับประทานอาหารตามแนวทาง TLC แนะนำให้รับประทานผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำหรือไขมันต่ำ ปลา สัตว์ปีกไม่มีหนัง และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันอื่นๆ ในปริมาณจำกัดมากขึ้น อาหารตามหลัก TLC นั้นมีการกำหนดปริมาณอาหารอย่างชัดเจน โดยจะแนะนำปริมาณอาหารแต่ละกลุ่มให้รับประทานอย่างเฉพาะเจาะจง และคุณสามารถใช้แนวทางเหล่านี้เพื่อวางแผนมื้ออาหารของคุณได้ ตัวอย่างเช่น (1) (2)

  • ธัญพืชไม่ขัดสี: 6 หน่วยบริโภคต่อวัน
  • ผักและถั่วหรือถั่วลันเตา: 3–5 เสิร์ฟต่อวัน
  • ผลไม้: 2–4 เสิร์ฟต่อวัน
  • ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ: 2–3 มื้อต่อวัน
  • เนื้อสัตว์หรือปลา: 5 ออนซ์หรือน้อยกว่า (ออนซ์) ต่อวัน
  • ลดไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล
  • สิ่งสำคัญคือต้องจำกัดปริมาณโซเดียมให้ไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน

American Heart Association (AHA) ยังคงแนะนำให้จำกัดไขมันอิ่มตัวไว้ที่ระหว่าง 5 ถึง 6 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรี่ทั้งหมดต่อวัน (ต่ำกว่าอาหารตาม TLC เล็กน้อย) เพื่อสุขภาพหัวใจ

2. การจัดการน้ำหนัก (Weight Management)

น้ำหนักเกิน โดยเฉพาะไขมันที่สะสมบริเวณรอบเอว ทำให้ร่างกายมีความเสี่ยงสูงที่จะมี ไขมันเลว (LDL) ในเลือดสูง ซึ่ง ไขมันเลวที่สูงเกินไปนี้ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ (NCDs) เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็ง ดังนั้น การลดน้ำหนัก เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของโรคเหล่านี้ และยังช่วยให้ระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ดีขึ้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยการควบคุมอาหาร (ลดไขมันอิ่มตัวและแคลอรี่) และเพิ่มการออกกำลังกาย เป็นหัวใจสำคัญในการจัดการกับทั้งน้ำหนักตัวและระดับไขมันเลวในเลือด ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกับว่า น้ำหนักที่เกินเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้ ไขมันเลวเพิ่มขึ้น และ ไขมันเลวที่เพิ่มขึ้นก็เป็นตัวเร่ง ให้เกิด โรคร้ายตามมา การลดน้ำหนักจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุโดยตรงนั่นเอง (1)

3. การออกกำลังกาย (Physical Activity)

การเพิ่มกิจกรรมทางกายถือเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญของการดูแลสุขภาพ เพราะการขาดการออกกำลังกายเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคหัวใจ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงช่วยให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักและลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจและปอดโดยตรง อีกทั้งยังช่วยลดความดันโลหิตสูง และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน หรือในผู้ป่วยเบาหวานอยู่แล้ว ก็จะช่วยลดความจำเป็นในการฉีดอินซูลินได้อีกด้วย (1)

ลดไขมันในเลือดกินอะไรดี?

แม้ว่าอาหารแบบ TLC จะจำกัดอาหารที่มีคอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวสูง แต่ก็ยังครอบคลุมอาหารเกือบทุกประเภท ซึ่งเราได้รวมวิธีการจัดจานอาหารแบบ TLC Diet เพื่อช่วยลดคอเลสเตอรอล ควรแบ่งสัดส่วนอาหารในจาน ดังนี้ :  (2)

  • 50% ผักและผลไม้: ควรเป็นผักที่ไม่ใช่แป้ง (Nonstarchy Vegetables) เช่น บรอกโคลี และผลไม้
  • 25% โปรตีนไม่ติดมัน: เลือกโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ เช่น เนื้อปลา อกไก่ หรือถั่ว
  • 25% ธัญพืชไม่ขัดสี: เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท หรือควินัว

ไขมันในเลือดสูงห้ามกินอะไร?

ในทางกลับกัน การรู้ว่าควรหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณอาหารประเภทไหนก็สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ได้ผลดีที่สุด

  • อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง: ควรจำกัดเนื้อสัตว์แปรรูปอย่างไส้กรอก, เบคอน, เนื้อสัตว์ติดมัน, หนังสัตว์ และลดการใช้น้ำมันจากสัตว์หรือน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าวในการปรุงอาหาร
  • อาหารที่มีไขมันทรานส์: นี่คือไขมันที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด พบมากในเบเกอรี่, คุกกี้, ของทอด, มาการีน และขนมขบเคี้ยวเชิงอุตสาหกรรม ควรอ่านฉลากและมองหาคำว่า “Partially Hydrogenated Oil” ซึ่งเป็นสัญญาณของไขมันทรานส์
  • อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง: จำกัดการบริโภคเครื่องในสัตว์ทุกชนิด ส่วนไข่แดงและอาหารทะเลบางอย่าง (เช่น กุ้ง, ปลาหมึก) สามารถรับประทานได้ในปริมาณที่พอเหมาะ หากภาพรวมของอาหารในวันนั้นๆ ไม่ได้มีไขมันอิ่มตัวสูงเกินไป
  • น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตขัดสี: เครื่องดื่มรสหวาน, น้ำอัดลม, ขนมหวาน, และแป้งขาวต่างๆ แม้จะไม่มีไขมันโดยตรง แต่การบริโภคเกินความจำเป็น ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินไปเป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันอีกชนิดหนึ่งในเลือด

สรุป

การลดไขมันในเลือดด้วยแนวทาง Therapeutic Lifestyle Changes(TLC) คือการลงทุนกับสุขภาพในระยะยาวที่ให้ผลลัพธ์ยั่งยืนและปลอดภัย เป็นการสร้างสมดุลให้กับร่างกายผ่านการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การมีกิจกรรมทางกายที่เหมาะสม และการรักษาน้ำหนักตัวให้แข็งแรง แม้ในช่วงแรกอาจต้องใช้ความตั้งใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่เมื่อทำได้อย่างสม่ำเสมอแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ระดับไขมันในเลือดดีขึ้น แต่ยังส่งเสริมให้สุขถาพโดยรวมแข็งแรงและมีชีวิตชีวามากขึ้นอีกด้วย

 

อ่านบทความที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่: Five Oil

 

แหล่งอ้างอิง

1.National Heart, Lung, and Blood Institute: การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเชิงบำบัด (TLC) เพื่อลดคอเลสเตอรอล

2.everydayhealth: อาหาร TLC คืออะไร ทำงานอย่างไร ประโยชน์และความเสี่ยง ตัวอย่างอาหาร และอื่นๆ

 

*บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการให้คำแนะนำทางการแพทย์, การวินิจฉัย, หรือการรักษา หากมีข้อกังวลหรือคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเสมอ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความอื่นๆ