6 ผลไม้ลดไตรกลีเซอไรด์ ตัวช่วยธรรมชาติเพื่อสุขภาพหลอดเลือด

6 ผลไม้ลดไตรกลีเซอไรด์ ตัวช่วยธรรมชาติเพื่อสุขภาพหลอดเลือด

ภาวะไตรกลีเซอไรด์สูงเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่หลายคนอาจไม่รู้ตัว เนื่องจากมักไม่แสดงอาการ แต่กลับเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดได้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินจึงเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และการเลือกรับประทานผลไม้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่ช่วยได้ค่ะ

6 ผลไม้ลดไตรกลีเซอไรด์ ที่คุณไม่ควรพลาด

การมองหา ผลไม้ลดไตรกลีเซอไรด์ มาเสริมในมื้ออาหารเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด เพราะผลไม้หลายชนิดอุดมไปด้วยใยอาหาร, วิตามิน, และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีส่วนช่วยสนับสนุนการทำงานของร่างกายและปรับสมดุลไขมันในเลือดได้อย่างเป็นธรรมชาติ มาดูกันว่ามีผลไม้อะไรบ้างที่น่าสนใจ

1. เกรปฟรุตแดง (Red Grapefruit)

มีผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการบริโภค เกรปฟรุตแดง สามารถช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงและผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ การเพิ่มเกรปฟรุตแดงลงในอาหารประจำวันจึงอาจเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด (1)

2. บูลเบอร์รี (Blue Berries) 

มีการศึกษาพบว่าการบริโภคบลูเบอร์รี่ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยให้กลุ่มทดลองรับประทานผงบลูเบอร์รี่อบแห้ง 22 กรัมต่อวัน (เทียบเท่าบลูเบอร์รี่สด 1 ถ้วย) เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานบลูเบอร์รี่มีระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ซึ่งบ่งชี้ว่าการบริโภคบลูเบอร์รี่เป็นประจำอาจช่วยปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดได้ และถึงแม้การศึกษาจะไม่ได้ระบุกลไกที่ชัดเจน แต่สันนิษฐานว่าคุณสมบัติในการลดไตรกลีเซอไรด์นี้มาจากสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญอย่าง ฟีนอลิก และ แอนโทไซยานิน ที่มีอยู่ในบลูเบอร์รี่นั่นเอง (3)

3. แอปเปิ้ล (Apples) 

แอปเปิลเป็นแหล่งอาหารที่ดีของ ไฟเบอร์ และ โพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล การศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้ใหญ่ที่รับประทานแอปเปิลวันละ 2 ผลติดต่อกัน 12 สัปดาห์ มีระดับคอเลสเตอรอลรวม คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด (2)

4. อะโวคาโด  (Avocado) 

อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีไขมันสูงและเป็นแหล่งของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ จากการศึกษาพบว่าการเปลี่ยนมาบริโภคอะโวคาโดแทนไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ และคาร์โบไฮเดรตในอาหาร จะช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับประทานอะโวคาโดเต็มลูก (Whole-A) ทำให้ความเข้มข้นของไลโปโปรตีนที่อุดมไปด้วยไตรกลีเซอไรด์ลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับการทานมื้ออาหารปกติ (4)

5.กีวี (Kiwi)

กีวีเป็นผลไม้ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจอย่างน่าทึ่ง มีพบการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานกีวีเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ลูก จะมีระดับไตรกลีเซอไรด์ต่ำลง และมีระดับคอเลสเตอรอลดี (HDL) สูงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับไฟบริโนเจน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการแข็งตัวของเลือด และช่วยให้ภาวะดื้ออินซูลินดีขึ้นอีกด้วยค่ะ (5)

 

6. แก้วมังกร (Dragon Fruit) 

เป็นแหล่งของใยอาหารที่ดี โดยเฉพาะแก้วมังกรเนื้อแดงมีศักยภาพในการช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือดได้เช่นกัน มีงานวิจัยในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่า การบริโภคแก้วมังกรเนื้อแดงในปริมาณ 400 กรัมต่อวัน สามารถช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ลงได้ (6)

ไขมันในเลือดสูง ห้ามกินผลไม้อะไรบ้าง?

เป็นคำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัย ความจริงแล้ว ไม่มีผลไม้ชนิดใดที่ “ห้าม” กินโดยเด็ดขาด แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ “ปริมาณและรูปแบบ” ของการบริโภค เนื่องจากผลไม้มีน้ำตาลฟรุกโตสตามธรรมชาติ หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจส่งผลให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นได้เช่นกัน 

สิ่งที่ควรระมัดระวังคือ:

  • น้ำผลไม้: การคั้นน้ำผลไม้ทำให้เราสูญเสียใยอาหารไปเกือบทั้งหมด เหลือไว้เพียงน้ำตาลที่ร่างกายจะดูดซึมอย่างรวดเร็ว
  • ผลไม้กระป๋องในน้ำเชื่อม: มีปริมาณน้ำตาลสูงมาก ควรเลือกชนิดที่อยู่ในน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ 100% (และบริโภคแต่น้อย)
  • ผลไม้ตากแห้ง: มีความเข้มข้นของน้ำตาลสูงกว่าผลไม้สดหลายเท่า ควรจำกัดปริมาณการกินในแต่ละครั้ง
  • มะพร้าว: สำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง ควรพิจารณาการบริโภคมะพร้าวอย่างระมัดระวัง เนื่องจากมะพร้าวและผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว เช่น กะทิ มีไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับไขมันในเลือดได้ค่ะ

นอกเหนือจากผลไม้ มีวิธีใดอีกบ้างที่ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์?

การดูแลระดับไตรกลีเซอไรด์ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์แบบองค์รวม นอกจากการเลือกทาน ผักผลไม้ลดไขมันในเลือด แล้ว ยังมีแนวทางอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กัน (7)

  • เลือกทานไขมันดี: เพิ่มอาหารที่มีไขมันดี HDL สูง เช่น ปลาทะเลน้ำลึก (แซลมอน, ทูน่า, ซาร์ดีน), ถั่วเปลือกแข็ง, เมล็ดเจีย, และน้ำมันมะกอก
  • เน้นผักใบเขียว: ผักต่างๆ เช่น คะน้า, บรอกโคลี, ปวยเล้ง อุดมไปด้วยใยอาหารและสารอาหารที่จำเป็น
  • ลดแป้งขัดขาวและน้ำตาล: จำกัดการบริโภคข้าวขาว, ขนมปังขาว, น้ำอัดลม, และขนมหวาน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้างไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้น
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ตั้งเป้าหมายการออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น การเดินเร็ว, วิ่ง, หรือว่ายน้ำ 
  • ควบคุมน้ำหนัก: การลดน้ำหนักตัวล สามารถส่งผลให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ 
  • จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น

สรุป

การควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดที่แข็งแรง การเลือกรับประทาน ผลไม้ลดไตรกลีเซอไรด์ อย่างอะโวคาโด, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี, และแอปเปิ้ล เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแนวทางการดูแลสุขภาพ ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่สมดุล, การออกกำลังกายเป็นประจำ, และการจัดการน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม หากคุณมีความกังวลเกี่ยวกับระดับไขมันในเลือด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการประเมินและคำแนะนำที่ถูกต้องต่อไป

อ่านบทความที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่: Five Oil

แหล่งอ้างอิง

1.ACS Publications: เกรปฟรุตแดงส่งผลดีต่อระดับไตรกลีเซอไรด์ในซีรั่มของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจแข็ง: การศึกษาในหลอดทดลองและในมนุษย์

2.verywellhealth: ผลไม้ 9 ชนิดที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลตามธรรมชาติ

3.ScienceDirect: การบริโภคบลูเบอร์รี่ช่วยปรับปรุงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไตรกลีเซอไรด์ และเอนไซม์ตับในทหารผ่านศึกสหรัฐฯ ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (P06-124-19)

4.National Library of Medicine: ผลอะโวคาโดต่อเครื่องหมายหลังอาหารของความเสี่ยงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด: การทดลองการตอบสนองแบบสุ่มที่มีการควบคุมปริมาณในผู้ชายและผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินและอ้วน

5.National Library of Medicine: ผลของการบริโภคกีวีต่อไขมันในพลาสมา ไฟบริโนเจน และภาวะดื้อต่ออินซูลินในบริบทของอาหารปกติ

6.National Library of Medicine: คุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ทางการรักษาของมังกรผลไม้: บทวิจารณ์ที่ครอบคลุมพร้อมผลกระทบต่อการกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมของออสเตรเลีย

7.webmd: อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหากคุณมีไตรกลีเซอไรด์สูง

 

*บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการให้คำแนะนำทางการแพทย์, การวินิจฉัย, หรือการรักษา หากมีข้อกังวลหรือคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเสมอ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความอื่นๆ