9 วิตามินลดไขมันในเส้นเลือด และอาหารสำคัญที่ควรรู้

9 วิตามินลดไขมันในเส้นเลือด และอาหารสำคัญที่ควรรู้

ภาวะไขมันในเส้นเลือดสูงอาจเป็นเหมือนภัยเงียบที่ไม่มีสัญญาณเตือน แต่ส่งผลต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาวได้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและไลฟ์สไตล์จึงเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม วันนี้มินดี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับกลุ่มวิตามินและสารอาหารที่มีส่วนช่วยสนับสนุนการจัดการไขมันในเส้นเลือดให้ดีขึ้นกันค่ะ

 

9 วิตามินลดไขมันในเส้นเลือด และสารอาหารที่ช่วยปรับสมดุล

การมองหา วิตามินลดไขมันในเส้นเลือด เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าวิตามินและอาหารเสริมเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเพียง “ตัวช่วย” สนับสนุนการทำงานของร่างกายควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ ไม่สามารถทดแทนการดูแลจากแพทย์ได้ เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่ามีสารอาหารอะไรบ้างที่น่าสนใจ

 

1.ไนอะซิน (Niacin) หรือวิตามินบี 3 

ไนอะซินเป็น วิตามินลดไขมันในเส้นเลือด ที่มีงานวิจัยรองรับค่อนข้างชัดเจนว่ามีส่วนช่วยในการปรับสมดุลไขมันในเลือด โดยมีกลไกช่วยเพิ่มระดับ HDL (High-Density Lipoprotein) หรือไขมันดี ซึ่งทำหน้าที่เก็บกวาดไขมันส่วนเกินกลับไปที่ตับ และในขณะเดียวกันก็ช่วยลดระดับ LDL (Low-Density Lipoprotein) หรือไขมันเลวและไตรกลีเซอไรด์ได้ อย่างไรก็ตาม การใช้ไนอะซินในปริมาณสูงเพื่อให้ได้ผลดังกล่าวจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงได้  (2)

2.กรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3 Fatty Acids) 

เป็นสารอาหารที่รู้จักกันดีในเรื่องการดูแลสุขภาพหัวใจ โดยเฉพาะกรดไขมัน EPA และ DHA ที่พบมากในปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน แมคเคอเรล ซาร์ดีน มีงานวิจัยจำนวนมากชี้ว่าโอเมก้า 3 มีคุณสมบัติเด่นในการช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำให้คุณรับประทานปลาที่มี ไขมันสูง (ปลาแซลมอน ปลาแอนโชวี่ ปลาเฮร์ริง ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า และปลาซาร์ดีน) ที่ไม่ทอดอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้งค่ะ (2)

3.ไฟเบอร์ไซเลี่ยม

ไฟเบอร์ เป็นตัวช่วยชั้นดีในการลดระดับคอเลสเตอรอล และเป็นส่วนสำคัญของอาหารเพื่อสุขภาพ นอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลรวมแล้ว ไฟเบอร์ยังมีส่วนช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 การได้รับไฟเบอร์อย่างเพียงพอจากแหล่งธรรมชาติ เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี เป็นสิ่งที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม หากคุณยังคงมีระดับคอเลสเตอรอลสูง แม้จะรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว ไซเลียมก็เป็นอีกทางเลือกที่สามารถช่วยได้  (2)

4.เบอร์เบอรีน (Berberine)

เบอร์เบอรีน คือสารประกอบธรรมชาติที่พบในพืชบางชนิด เช่น โกลเดนซีลและบาร์เบอร์รี สารนี้มีคุณสมบัติช่วยลดไขมันในเลือด โดยเชื่อว่ามันเข้าไปกระตุ้นเอนไซม์ AMP-activated protein kinase (AMPK) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ช่วยส่งเสริมการเผาผลาญไขมันและทำให้ร่างกายกำจัดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ได้ดีขึ้น (3)

จากการวิจัยพบว่าเบอร์เบอรีนสามารถช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้ 25–55 มก./ดล. และลด LDL ได้ 20–50 มก./ดล. โดยปกติแล้ว เบอร์เบอรีนค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่เมื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสม จากการศึกษาพบว่าการรับประทานเบอร์เบอรีนสูงสุด 1,500 มิลลิกรัมต่อวันเป็นเวลาหกเดือนไม่ก่อให้เกิดปัญหา

5.กระเทียม (Garlic) 

กระเทียมเป็นอาหารที่ช่วยรักษาโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง จากการศึกษาพบว่าการบริโภคกระเทียมทุกวันไม่เพียงแต่ช่วยทำความสะอาดหลอดเลือดเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันการสะสมของแคลเซียมและการสะสมตัวของแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย (1) (2)

6.องุ่น

องุ่นประกอบด้วยฟลาโวนอยด์ (ส่วนประกอบที่ทำให้องุ่นมีสีม่วง) เคอร์ซิติน และเรสเวอราทรอล ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถช่วยยับยั้งการเกิดออกซิเดชันของคอเลสเตอรอล LDL ได้ ไม่เพียงแต่ช่วยทำความสะอาดหลอดเลือดเท่านั้น แต่การรับประทานองุ่นเป็นประจำยังช่วยลดโอกาสที่ร่างกายจะเกิดลิ่มเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายในแต่ละคนอีกด้วย (1)

7.สารสกัดจากชาเขียว (EGCG)

อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพอย่าง EGCG ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล โดย EGCG อาจช่วยยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลที่ลำไส้ และส่งเสริมการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ผลการศึกษาทางคลินิกพบว่า การรับประทาน EGCG เป็นประจำทุกวันมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL ได้เล็กน้อย ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพหัวใจ  (3)

8.โปรตีนถั่วเหลือง

โปรตีนถั่วเหลืองมีส่วนช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจได้ เนื่องจากมีสารสำคัญอย่าง ไอโซฟลาโวน ซึ่งเป็นสารประกอบที่คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย โดยทำงานร่วมกับเปปไทด์บางชนิดในถั่วเหลือง เพื่อช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและส่งเสริมการกำจัดไขมันเลว (LDL) มีงานวิจัยชี้ว่า การบริโภคโปรตีนถั่วเหลือง 25 กรัมต่อวันแทนโปรตีนจากสัตว์ สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL ลงได้ 3-4% ในผู้ใหญ่  (3)

คุณสามารถรับประทานโปรตีนถั่วเหลืองได้จากหลายแหล่ง เช่น เต้าหู้, นมถั่วเหลือง หรือผงโปรตีนถั่วเหลือง  โปรตีนถั่วเหลืองค่อนข้างปลอดภัย แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะไวต่อฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภค เนื่องจากถั่วเหลืองมีสาร ไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน  (3)

9.โคเอนไซม์ คิวเท็น (CoQ10)

โคเอนไซม์ คิวเท็น (CoQ10) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อการสร้างพลังงานของเซลล์ และมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ นอกจากนี้ CoQ10 ยังถูกนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อในผู้ที่รับประทานยาลดไขมันกลุ่มสแตตินอีกด้วย มีงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า CoQ10 สามารถช่วยให้ระดับไขมันในเลือดดีขึ้นได้ โดยช่วยลดคอเลสเตอรอลรวม, LDL (ไขมันไม่ดี) และไตรกลีเซอไรด์ พร้อมทั้งเพิ่มระดับ HDL (ไขมันดี) (3)

วิธีลดไขมันเลว LDL ที่เห็นผลและยั่งยืน

นอกจากการมองหาวิตามินหรืออาหารเสริม การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ถือเป็นวิธีลดไขมันเลว (LDL) ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนที่สุด ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ ดังนี้

  • ปรับการกิน: ลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูง เช่น ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน เบเกอรี่ และเพิ่มอาหารที่มีไขมันดี เช่น ปลาทะเล ถั่ว อะโวคาโด รวมถึงผักผลไม้และธัญพืชไม่ขัดสี
  • ออกกำลังกายสม่ำเสอม: การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL) และทำให้หัวใจแข็งแรง
  • ควบคุมน้ำหนัก: การมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมช่วยลดภาระการทำงานของร่างกายและส่งผลดีต่อระดับไขมันในเลือดโดยตรง
  • งดสูบบุหรี่และลดแอลกอฮอล์: สารพิษในบุหรี่ทำลายผนังหลอดเลือดโดยตรง ส่วนแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปก็ส่งผลให้ไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นได้

วิตามินอะไรช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย?

หลายคนอาจสงสัยว่ามีวิตามินตัวไหนที่ช่วย “เผาผลาญ” ไขมันได้โดยตรงหรือไม่ คำตอบคือไม่มีวิตามินที่สามารถสั่งให้ร่างกายสลายไขมันที่สะสมอยู่ออกมาได้โดยตรง แต่มีกลุ่มวิตามินที่ทำหน้าที่เป็น “ผู้สนับสนุน” กระบวนการเผาผลาญพลังงาน (Metabolism) ของร่างกาย นั่นคือ กลุ่มวิตามินบี เช่น วิตามินบี 1, บี 2, บี 3, บี 5, บี 6 และบี 12 (5)

วิตามินเหล่านี้มีความสำคันอย่างยิ่งในการช่วยเปลี่ยนสารอาหารที่เรากินเข้าไป ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ให้กลายเป็นพลังงานเพื่อให้เซลล์นำไปใช้ หากร่างกายขาดวิตามินบี กระบวนการเผาผลาญก็อาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่การได้รับวิตามินบีเพิ่ม ไม่ได้หมายความว่าจะเผาผลาญไขมันได้มากขึ้นหากไม่ควบคุมปริมาณแคลอรีที่กินเข้าไปและไม่มีการออกกำลังกายร่วมด้วย 

 

อ่านบทความที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่: Five Oil

 

สรุป

การดูแลระดับ ไขมันในเส้นเลือด ให้สมดุลเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายปัจจัย ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย และการจัดการน้ำหนักตัวเป็นประจำ วิตามินลดไขมันในเส้นเลือด และสารอาหารต่างๆ เช่น ไนอะซิน, โอเมก้า 3, และใยอาหาร สามารถเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนเป้าหมายนี้ได้ แต่ไม่ใช่ทางลัดหรือวิธีทดแทนการรักษาทางการแพทย์ หากคุณมีภาวะไขมันในเลือดสูง การปรึกษาแพทย์เพื่อรับการประเมินและวางแผนการดูแลที่เหมาะสมกับตัวเองจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดที่แข็งแรงในระยะยาว

 

แหล่งอ้างอิง

1.vinmec.com : อาหารเพื่อสุขภาพหลอดเลือด

2.Webmd: อาหารเสริมบำรุงสุขภาพ ลดคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์

3.verywellhealth: อาหารเสริม 10 ชนิดสำหรับคอเลสเตอรอลสูงที่อาจช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อย่างเป็นธรรมชาติ

4.Medical News Today: วิตามินและแร่ธาตุสำหรับการเผาผลาญ

5.savaclinic: วิตามินอะไรดีต่อการลดไขมันหน้าท้อง

 

*บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการให้คำแนะนำทางการแพทย์, การวินิจฉัย, หรือการรักษา หากมีข้อกังวลหรือคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเสมอ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความอื่นๆ