เคยสงสัยไหมว่า ไฟเบอร์และโพรไบโอติก ซึ่งเป็นสองคำที่มักถูกกล่าวถึงคู่กันในวงการสุขภาพนั้น แตกต่างกันอย่างไร? ทั้งสองอย่างล้วนมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพของระบบทางเดินอาหาร แต่ความจริงแล้วมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน โดดยการได้รับไฟเบอร์และโพรไบโอติกในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ในอนาคตได้เป็นอย่างดี
ไขข้อสงสัย ไฟเบอร์กับโพรไบโอติก ต่างกันยังไง
ในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพแบบนี้ คำถามที่ว่า ไฟเบอร์กับโพรไบโอติก ต่างกันยังไง จึงมักถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสองมีคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพ แต่หน้าที่และการทำงานของไฟเบอร์และโพรไบโอติกนั้นแตกต่างกัน ในบทความนี้ เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างไฟเบอร์และโพรไบโอติกเพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถเลือกใช้ได้ตรงตามความต้องการของตัวเองได้อย่างถูกต้องกันค่ะ ลองไปดูกันเลย!
ไฟเบอร์
ไฟเบอร์เป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ แม้ว่าคาร์โบไฮเดรตส่วนใหญ่จะถูกย่อยเป็นโมเลกุลน้ำตาลที่เรียกว่ากลูโคส แต่ไฟเบอร์ไม่สามารถย่อยเป็นโมเลกุลน้ำตาลได้ และร่างกายจะขับไฟเบอร์ออกมาโดยไม่ได้ย่อย ไฟเบอร์ช่วยควบคุมการใช้น้ำตาลของร่างกาย ช่วยควบคุมความหิวและระดับน้ำตาลในเลือด (2) แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
ไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ เช่น ข้าวโอ๊ต ถั่ว และผลไม้บางชนิด เช่น แอปเปิลและบลูเบอร์รี่ โดยไฟเบอร์ชนิดนี้เมื่อเข้าสู่ลำไส้จะละลายในน้ำ กลายเป็นเจลที่ช่วยดูดซับน้ำตาลและไขมัน ทำให้กระบวนการย่อยอาหารช้าลง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่และควบคุมน้ำหนักได้ (2)
ไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำ เช่น ผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลีทั้งเมล็ด (โดยเฉพาะรำข้าวสาลี) คีนัว ข้าวกล้อง ถั่ว พืชตระกูล ถั่วผักใบเขียว เช่นคะน้าอัลมอนด์ วอลนัท เมล็ดพืช ซึ่งไฟเบอร์ชนิดนี้ไม่ละลายในน้ำ แต่ช่วยเพิ่มปริมาณกากอาหารในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูกและกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ (2)
โพรไบโอติก
คือ กลุ่มของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ซึ่งอาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร โพรไบโอติกเหล่านี้ทำหน้าที่เสริมสร้างความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและช่วยให้ลำไส้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาที่เกิดจากจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องหรือท้องเสียได้ แพทย์มักแนะนำให้ใช้เจ้าตัวนี้เพื่อช่วยเรื่องปัญหาการย่อยอาหาร (3)
อาหารที่มีโพรไบโอติก เช่น โยเกิร์ต กิมจิ หรืออาหารหมักดอง (1) เป็นแหล่งของจุลินทรีย์ที่ดี ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบทางเดินอาหาร ลดปัญหาท้องผูก และป้องกันการติดเชื้อบางประเภทในทางเดินอาหารได้อีกด้วย
ความแตกต่างระหว่างไฟเบอร์และโพรไบโอติก
หน้าที่ในการทำงาน: ไฟเบอร์เป็นสารที่ช่วยในกระบวนการย่อยและการขับถ่าย ขณะที่โพรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์ที่ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ และส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน
กลไกการทำงานในลำไส้: ไฟเบอร์เป็นตัวเสริมที่ช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ ป้องกันอาการท้องผูก และรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด (5) ส่วนโพรไบโอติกจะช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ และลดปัญหาการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่ดี (4)
การทาน: ไฟเบอร์พบได้มากในผัก ผลไม้ และธัญพืช ขณะที่โพรไบโอติกพบได้ในอาหารที่มีการหมัก เช่น โยเกิร์ตและกิมจิ
ความสัมพันธ์ระหว่างไฟเบอร์กับโพรไบโอติก
แม้ว่าทั้งไฟเบอร์และโพรไบโอติกจะมีบทบาทต่างกัน แต่ทั้งคู่ทำงานร่วมกันอย่างดีในการเสริมสร้างสุขภาพของลำไส้และระบบทางเดินอาหาร เมื่อร่างกายได้รับไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ มันจะเป็นอาหารให้กับโพรไบโอติก ซึ่งทำให้จุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้เจริญเติบโต ช่วยส่งเสริมระบบทางเดินอาหารให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
สรุป
การรับประทานทั้งไฟเบอร์และโพรไบโอติกจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของลำไส้และระบบทางเดินอาหาร ทำให้ร่างกายแข็งแรงและระบบย่อยอาหารเป็นปกติ ดังนั้น หากต้องการมีสุขภาพที่ดี การทานไฟเบอร์และโพรไบโอติกจากอาหารเป็นประจำถือเป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัยเสมอค่ะ
ไฟเบอร์ กับ ดีท็อก ต่างกันยังไง
ไฟเบอร์และดีท็อกซ์ เป็นสองสิ่งที่หลายคนมักจะเข้าใจผิดว่ามีความหมายเหมือนกันค่ะ แต่จริงๆ แล้วทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันนะคะ ไฟเบอร์ หรือใยอาหาร คือส่วนประกอบที่พบในพืชพรรณต่างๆ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ซึ่งร่างกายไม่สามารถย่อยได้ แต่มีประโยชน์ในการช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้อุจจาระนุ่มและขับถ่ายง่ายขึ้น ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และยังช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้นอีกด้วยค่ะ ส่วนดีท็อกซ์ หมายถึงการขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี ไฟเบอร์ก็มีส่วนช่วยในการดีท็อกซ์ลำไส้ได้ในระดับหนึ่งค่ะ เพราะไฟเบอร์จะเข้าไปดูดซับสารพิษและของเสียต่างๆ แล้วขับออกจากร่างกายไปพร้อมกับอุจจาระ ดังนั้น แม้ว่าไฟเบอร์จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการดีท็อกซ์ลำไส้ได้ แต่การดีท็อกซ์นั้นครอบคลุมถึงกระบวนการขจัดสารพิษออกจากร่างกายในส่วนอื่นๆ ด้วยนะคะ
พรีไบโอติก ไฟเบอร์ กินตอนไหน
จริงๆ แล้วไม่มีกฎตายตัวว่าต้องทานตอนไหนค่ะ แต่เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ลองทานพรีไบโอติกและไฟเบอร์ร่วมกับมื้ออาหาร หรือหลังอาหารก็ได้ค่ะ เพราะจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น และยังช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้นด้วย
ท้องอืด ท้องเฟ้อ ควรเลือกทานไฟเบอร์หรือโพรไบโอติกดี?
หากคุณมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้ออยู่แล้ว การทานไฟเบอร์ในปริมาณที่มากเกินไปอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดในช่วงแรกๆ ค่ะ เพราะหากร่างกายปรับตัวไม่ทันอาจจะท้องอืดกว่าเดิม ดังนั้น เริ่มต้นด้วยการทานโพรไบโอติกเพื่อปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ก่อน อาจช่วยลดอาการท้องอืดได้ดีขึ้น และเมื่ออาการดีขึ้นแล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณไฟเบอร์เข้าไปทีละน้อยก็จะช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้ง่ายขึ้นค่ะ
ท้องผูกควรกินไฟเบอร์หรือโพรไบโอติก
ขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการท้องผูกของแต่ละบุคคลค่ะ หากท้องผูกเกิดจากการที่อุจจาระแข็งตัว การทานไฟเบอร์จะช่วยได้ดี แต่ถ้าท้องผูกเกิดจากปัญหาในระบบลำไส้ การทานโพรไบโอติกจะช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้การขับถ่ายเป็นปกติขึ้นค่ะ
แหล่งอ้างอิง
1.5 เหตุผลที่คุณควรเพิ่มอาหารหมักดองในอาหารของคุณ