10 ประโยชน์ อะโวคาโด สุดยอดผลไม้สำหรับสายสุขภาพ

10 ประโยชน์ อะโวคาโด สุดยอดผลไม้สำหรับสายสุขภาพ

สารบัญเนื้อหา

อะโวคาโด กินตอนไหนดีที่สุด

อะโวคาโดจะได้ประโยชน์สูงสุด ถ้าทานเมื่อสุกแล้ว อะโวคาโด กินตอนไหนดีที่สุดนั้น แนะนำเป็นตอนเช้าจะดีที่สุด เวลาอื่นก็สามารถทานได้ แต่เนื่องจากอะโวคาโดทำให้อิ่มนาน การทานตอนเช้า เลยจะทำให้มื้อต่อๆไปทานได้น้อยลง จึงแนะนำให้ทานตอนเช้าจะดีที่สุด

ส่วนนึงจากบทความ อะโวคาโด กินตอนไหนดี

10 ประโยชน์ อะโวคาโด สุดยอดผลไม้สำหรับสายสุขภาพ

ประโยชน์ อะโวคาโด สุดยอดผลไม้สำหรับสายสุขภาพ

อโวคาโด จัดว่าเป็นสุดยอดอาหาร หรือ Super Food ที่นักโภชนาการให้การยอมรับกันไปทั่วโลก เนื่องจากประโยชน์ อะโวคาโดนั้นมีหลากหลายเป็นที่นิยมของคนรักสุขภาพ เรียกได้ว่าใครเป็นสายสุขภาพที่นิยมกินคลีนจะต้องมีติดบ้านกันแทบทุกคน แต่สำหรับคนทั่วไปมักไม่ค่อยนิยมทานกันนัก เนื่องจากอโวคาโดมีราคาที่ค่อนข้างสูง ไม่ใช่ผลไม้พื้นเมือง และมีรสชาติที่ไม่ถูกปากคนส่วนใหญ่นัก บทความนี้จึงอยากชักชวนให้ใครหลายๆคนได้ลิ้มลอง อะโวคา อาจจะติดใจในรสชาติมันๆหอมๆก็ได้ บมาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

1.ดีต่อลำไส้

เนื่องจากอะโวคาโดนั้นมีเส้นใย(ไฟเบอร์)ที่ค่อนข้างสูงถึง 14 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ค่อนข้างสูงพอสมควร และเมื่อร่างกายได้รับเส้นใย(ไฟเบอร์)เพียงพอ ระบบย่อยอาหารของคุณก็จะดีขึ้น และเมื่อร่างกายสามารถย่อยอาหารได้ดีขึ้นก็จะทำให้ร่างกายดีขึ้นตามไปด้วย และที่สำคัญคือ เมื่อระบบย่อยอาหารดีขึ้น ก็จะทำให้น้ำหนักลดง่ายขึ้นนั่นเอง
มีการศึกษาเกี่ยวกับการลดน้ำหนักด้วยอะโวคาโดจากผู้ทดลองที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน 163 คน โดยทุกคนเป็นผู้ใหญ่หมดแล้ว โดยจะแบ่งเป็นผู้ชาย กับผู้หญิง โดยผู้ชายจะให้กินอะโวคาโด 175 กรัม และผู้หญิงจะให้กินอะโวคาโด 140 กรัม การทดลองใช้เวลาทั้งหมด 12 สัปดาห์ ผลจากการทดลองในผู้ใหญ่ 163 ปรากฏว่า พบความเข้มข้นของกรดน้ำดีลดลง ซึ่งความเข้มข้นของกรดน้ำดีนี้จะเป็นการทำให้ลำไส้อักเสบ และเป็นตัวทำให้จุลินทรีย์ที่ไม่ดีต่อลำไส้เจริญเติบโตได้ดีขึ้น การที่อะโวคาโดทำให้ความเข้มข้นของกรดน้ำดีต่ำลง ทำให้ลำไส้ใหญ่มีสุขภาพดีขึ้นได้
นอกจากนี้ยังพบว่าอะโวคาโดยังแบคทีเรียที่ช่วยทำให้ลำไส้ใหญ่ดีขึ้นและปกป้องลำไส้ใหญ่จากโรคต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวารหนัก และลำไส้อักเสบ เป็นต้น

2.ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

1 ในประโยชน์ อะโวคาโดที่มีชื่อเสียงมากๆคือ ตัวช่วยเรื่องหัวใจ เพราะสารอาหารต่างๆที่อยู่ในอะโวคาโดล้วนแล้วแต่เป็นสารอาหารที่ดีต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ดี
มีการศึกษาจำนวนมากเกี่ยวกับการใช้อะโวคาโดช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ผลปรากฏว่า อะโวคาโด ช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอล แต่เป็นคอเลสเตอรอลชื่อ HDL (ไขมันดี) และยังลดระดับของคอเลสเตอรอล LDL (ไขมันเลว) อีกด้วย ซึ่งการเพิ่มไขมันดี ลดไขมันเลวนี้ ส่งผลดีต่อหลอดเลือด เพราะเจ้าไขมันดี(HDL)จะทำหน้าที่ไปจับกุมเจ้าตัวไขมันเลว(LDL)ตามลำไส้ เพื่อนำไปทำลายที่ตับ ยิ่งไขมันดีกับไขมันเลวสมดุล หรือไขมันดีมากกว่า ก็จะยิ่งทำให้หลอดเลือดทำงานได้ที่เท่านั้น นอกจากนี้แล้ว อะวคาโดยังมีปริมาณโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ค่อนข้างสูง ซึ่งปริมาณของโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่สูงนี้จะช่วยให้ความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้ อะโวคาโดเลยเป็นตัวช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อบ่างดีเยี่ยม

3.ต้านการอักเสบ

อะโวคาโดที่เต็มไปด้วยสารอาหารมากมายและมีกลุ่มสารอาหารเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหลายอย่างอีกด้วย เช่น แคโรทีนอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดี ในการรักษาโรคเรื้อรังหลายๆชนิด
มีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้อะโวคาโดต้านการอักเสบในผู้เข้าร่วม 45 คน พบว่า การทานอะโวคาโดเป็นประจำในทุกๆวัน ช่วยเพิ่มระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้สมองและหัวใจมีสุขภาพที่ดีขึ้น

4.ลดน้ำหนัก

ประโยชน์ อะโวคาโดเป็นผลไม้อันดับต้นๆที่คนมักจะทานเพื่อลดน้ำหนัก ถึงแม้ว่าอะโวคาโดจะมีแคลอรีที่ค่อนข้างจะสูง แต่แคลอรีเหล่านั้นก็เป็นแคลอรีที่ดีต่อสุขภาพ และอะโวคาโดยังเต็มไปด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการแถมยังเต็มไปด้วยไฟเบอร์อีก ซึ่งรวมๆแล้วทั้งดีต่อสุขภาพและการลดน้ำหนัก
การศึกษาเกี่ยวกับการลดน้ำหนักด้วยอาหารที่มีไฟเบอร์จากผู้เข้าร่วมทดสอบ 345 คน คน พบว่า ไฟเบอร์มีส่วนอย่างมากที่ทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้
และยังมีการศึกษาอีกจำนวนนึง ในการใช้อะโวคาโดลดน้ำหนัก พบว่าการทานอะโวคาโดช่วยให้อิ่มไวขึ้นและทำให้ไขมันหน้าท้องลดลงได้จริงๆอีกด้วย

5.ดีต่อแม่ที่ตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร

เนื่องจากคุณแม่ที่กำลังอุ้มท้องหรือให้นมบุตรนั้นต้องการสารอาหารค่อนข้างที่จะเยอะมาก เพราะต้องบำรุงทั้งตัวเองและก็ลูกในครรภ์ จึงจำเป็นต้องได้รับสารอาหารมากเป็นพิเศษ และที่สำคัญในอะโวคาโดมีโฟเลตถึง 27% ซึ่งโฟเลตเป็น 1 ในสารอาหารที่จำเป็นขณะตั้งครรภ์ และปริมาณโฟเลตในอะโวคาโดเป็นปริมาณที่แนะนำพอดีอีกด้วย นอกจากนี้อะโวคาโดยังมีสารอาหารที่สำคัญที่ร่างกายคุณแม่ต้องการเพิ่มมากขึ้นจากการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรด้วยอย่างเช่น วิตามินซี บี 6 และไฟเบอร์ ซึ่งปริมาณไฟเบอร์ที่สูงช่วยป้องกันอาการท้องผูกในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ได้อีกด้วย

6.บำรุงสายตา

ในอะโวคาโดมีสารอาหารมากมายและ 1 ในนั้นก็คือ ลูทีนและซีแซนทีน ที่เป็นไฟโตเคมิคอลที่อยู่ในเนื่อเยื่อตา ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันความเสียหายต่อตา และในอะโวคาโดยังมีกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ทำให้ดูดซึมสารต้านอนุมูลอิสระได้ดี ช่วยลดความเสี่ยงของจอประสาทเสื่อมอีกด้วย

7.อาจป้องกันมะเร็ง

มีการศึกษาที่บ่งบอกว่าการทานานอะโวคาโดช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งได้ เพราะในอะโวคาโดมีสารประกอบที่ป้องกันมะเร็งได้ (บางชนิด)
มีการวิจัยที่บออกว่าการทานอะโวคาโดที่มีสารโฟเลต ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน และ มะเร็งปากมดลูกได้ และอะโวคาโดที่มีไฟโตเคมิคอลและแคโรทีนอยด์ที่สูง อาจป้องกันมะเร็ง และกันไม่ให้มะเร็งลุกลามได้ อย่างไรก็ดีการศึกษาเหล่านี้ยังไม่ได้มีการศึกษาวิจัยกับมนุษย์ เป็นเพียงการวิจัยในหลอดทดลองเพียงเท่านั้น จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาและวิจัยเพิ่มเติมอีก

8.ลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า

มีการศึกษาโฟเลตที่อยู่ในอะโวคาโดพบว่า โฟเลตมีส่วนเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า เพราะโฟเลตช่วยป้องกันไม่ให้สารที่ชื่อว่าโฮโมซิสเทอีน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้การส่งอาหารไปยังสมองลดลง ซึ่งเชื่อมโยงกับสารโฮโมซิสเทอีนส่วนเกิน ที่ทำให้เกิดความผิดปกติของการรับรู้ และภาวะซึมเศร้า

9.ล้างพิษตามธรรมชาติได้

เนื่องจากในอะโวคาโดมีเส้นใย(ไฟเบอร์) ซึ่งเป็นตัวส่งเสริมให้ลำไส้ทำงานได้ดีเป็นปกติ ซึ่งจะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระได้
มีการศึกษาพบว่า เส้นใย(ไฟเบอร์) ช่วยส่งเสริมให้สุขภาพลำไส้ดีขึ้น และลดการอักเสบของทางเดินอาหารได้

10.บรรเทาข้อเข่าเสื่อม

ในอะโวคาโด และพืชอื่นๆที่มีสารชื่อว่า ซาโฟนิน มีส่วนช่วยให้ข้อเข่าเสื่อมและสะโพกดีขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ดี การวิจัยยังมีข้อมูลค่อนข้างน้อยอยู่ และยังไม่มีการยืนยันผลกระทบในระยะยาวของซาโปนินต่อข่อเข่าเสื่อมแต่อย่างใด

ประโยชน์ อโวคาโด น้ำมันอโวคาโด

น้ำมันอโวคาโด

อโวคาโดมีประโยชน์มาก นักวิจัยจึงนำผลสดไปทำการวิจัยและแปรรูปออกมาเป็น น้ำมันสกัดเย็น (Cold Press Oil) ที่มีคุณค่าสารอาหารสูงเหมาะสำหรับการใช้ลดน้ำหนัก เพิ่มปริมาณไขมันดี และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ใครสนใจสามารถศึกษา น้ำมันอะโวคาโด ต่อได้ที่นี่เลย คลิก

อะโวคาโด กินตอนไหนดีที่สุด

อะโวคาโดจะได้ประโยชน์สูงสุด ถ้าทานเมื่อสุกแล้ว อะโวคาโด กินตอนไหนดีที่สุดนั้น แนะนำเป็นตอนเช้าจะดีที่สุด เวลาอื่นก็สามารถทานได้ แต่เนื่องจากอะโวคาโดทำให้อิ่มนาน การทานตอนเช้า เลยจะทำให้มื้อต่อๆไปทานได้น้อยลง จึงแนะนำให้ทานตอนเช้าจะดีที่สุด

ส่วนนึงจากบทความ อะโวคาโด กินตอนไหนดี

10 ประโยชน์ อะโวคาโด สุดยอดผลไม้สำหรับสายสุขภาพ

ประโยชน์ อะโวคาโด สุดยอดผลไม้สำหรับสายสุขภาพ

อโวคาโด จัดว่าเป็นสุดยอดอาหาร หรือ Super Food ที่นักโภชนาการให้การยอมรับกันไปทั่วโลก เนื่องจากประโยชน์ อะโวคาโดนั้นมีหลากหลายเป็นที่นิยมของคนรักสุขภาพ เรียกได้ว่าใครเป็นสายสุขภาพที่นิยมกินคลีนจะต้องมีติดบ้านกันแทบทุกคน แต่สำหรับคนทั่วไปมักไม่ค่อยนิยมทานกันนัก เนื่องจากอโวคาโดมีราคาที่ค่อนข้างสูง ไม่ใช่ผลไม้พื้นเมือง และมีรสชาติที่ไม่ถูกปากคนส่วนใหญ่นัก บทความนี้จึงอยากชักชวนให้ใครหลายๆคนได้ลิ้มลอง อะโวคา อาจจะติดใจในรสชาติมันๆหอมๆก็ได้ บมาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

1.ดีต่อลำไส้

เนื่องจากอะโวคาโดนั้นมีเส้นใย(ไฟเบอร์)ที่ค่อนข้างสูงถึง 14 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ค่อนข้างสูงพอสมควร และเมื่อร่างกายได้รับเส้นใย(ไฟเบอร์)เพียงพอ ระบบย่อยอาหารของคุณก็จะดีขึ้น และเมื่อร่างกายสามารถย่อยอาหารได้ดีขึ้นก็จะทำให้ร่างกายดีขึ้นตามไปด้วย และที่สำคัญคือ เมื่อระบบย่อยอาหารดีขึ้น ก็จะทำให้น้ำหนักลดง่ายขึ้นนั่นเอง
มีการศึกษาเกี่ยวกับการลดน้ำหนักด้วยอะโวคาโดจากผู้ทดลองที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน 163 คน โดยทุกคนเป็นผู้ใหญ่หมดแล้ว โดยจะแบ่งเป็นผู้ชาย กับผู้หญิง โดยผู้ชายจะให้กินอะโวคาโด 175 กรัม และผู้หญิงจะให้กินอะโวคาโด 140 กรัม การทดลองใช้เวลาทั้งหมด 12 สัปดาห์ ผลจากการทดลองในผู้ใหญ่ 163 ปรากฏว่า พบความเข้มข้นของกรดน้ำดีลดลง ซึ่งความเข้มข้นของกรดน้ำดีนี้จะเป็นการทำให้ลำไส้อักเสบ และเป็นตัวทำให้จุลินทรีย์ที่ไม่ดีต่อลำไส้เจริญเติบโตได้ดีขึ้น การที่อะโวคาโดทำให้ความเข้มข้นของกรดน้ำดีต่ำลง ทำให้ลำไส้ใหญ่มีสุขภาพดีขึ้นได้
นอกจากนี้ยังพบว่าอะโวคาโดยังแบคทีเรียที่ช่วยทำให้ลำไส้ใหญ่ดีขึ้นและปกป้องลำไส้ใหญ่จากโรคต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวารหนัก และลำไส้อักเสบ เป็นต้น

2.ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

1 ในประโยชน์ อะโวคาโดที่มีชื่อเสียงมากๆคือ ตัวช่วยเรื่องหัวใจ เพราะสารอาหารต่างๆที่อยู่ในอะโวคาโดล้วนแล้วแต่เป็นสารอาหารที่ดีต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ดี
มีการศึกษาจำนวนมากเกี่ยวกับการใช้อะโวคาโดช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ผลปรากฏว่า อะโวคาโด ช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอล แต่เป็นคอเลสเตอรอลชื่อ HDL (ไขมันดี) และยังลดระดับของคอเลสเตอรอล LDL (ไขมันเลว) อีกด้วย ซึ่งการเพิ่มไขมันดี ลดไขมันเลวนี้ ส่งผลดีต่อหลอดเลือด เพราะเจ้าไขมันดี(HDL)จะทำหน้าที่ไปจับกุมเจ้าตัวไขมันเลว(LDL)ตามลำไส้ เพื่อนำไปทำลายที่ตับ ยิ่งไขมันดีกับไขมันเลวสมดุล หรือไขมันดีมากกว่า ก็จะยิ่งทำให้หลอดเลือดทำงานได้ที่เท่านั้น นอกจากนี้แล้ว อะวคาโดยังมีปริมาณโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ค่อนข้างสูง ซึ่งปริมาณของโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่สูงนี้จะช่วยให้ความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้ อะโวคาโดเลยเป็นตัวช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อบ่างดีเยี่ยม

3.ต้านการอักเสบ

อะโวคาโดที่เต็มไปด้วยสารอาหารมากมายและมีกลุ่มสารอาหารเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหลายอย่างอีกด้วย เช่น แคโรทีนอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดี ในการรักษาโรคเรื้อรังหลายๆชนิด
มีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้อะโวคาโดต้านการอักเสบในผู้เข้าร่วม 45 คน พบว่า การทานอะโวคาโดเป็นประจำในทุกๆวัน ช่วยเพิ่มระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้สมองและหัวใจมีสุขภาพที่ดีขึ้น

4.ลดน้ำหนัก

ประโยชน์ อะโวคาโดเป็นผลไม้อันดับต้นๆที่คนมักจะทานเพื่อลดน้ำหนัก ถึงแม้ว่าอะโวคาโดจะมีแคลอรีที่ค่อนข้างจะสูง แต่แคลอรีเหล่านั้นก็เป็นแคลอรีที่ดีต่อสุขภาพ และอะโวคาโดยังเต็มไปด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการแถมยังเต็มไปด้วยไฟเบอร์อีก ซึ่งรวมๆแล้วทั้งดีต่อสุขภาพและการลดน้ำหนัก
การศึกษาเกี่ยวกับการลดน้ำหนักด้วยอาหารที่มีไฟเบอร์จากผู้เข้าร่วมทดสอบ 345 คน คน พบว่า ไฟเบอร์มีส่วนอย่างมากที่ทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้
และยังมีการศึกษาอีกจำนวนนึง ในการใช้อะโวคาโดลดน้ำหนัก พบว่าการทานอะโวคาโดช่วยให้อิ่มไวขึ้นและทำให้ไขมันหน้าท้องลดลงได้จริงๆอีกด้วย

5.ดีต่อแม่ที่ตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร

เนื่องจากคุณแม่ที่กำลังอุ้มท้องหรือให้นมบุตรนั้นต้องการสารอาหารค่อนข้างที่จะเยอะมาก เพราะต้องบำรุงทั้งตัวเองและก็ลูกในครรภ์ จึงจำเป็นต้องได้รับสารอาหารมากเป็นพิเศษ และที่สำคัญในอะโวคาโดมีโฟเลตถึง 27% ซึ่งโฟเลตเป็น 1 ในสารอาหารที่จำเป็นขณะตั้งครรภ์ และปริมาณโฟเลตในอะโวคาโดเป็นปริมาณที่แนะนำพอดีอีกด้วย นอกจากนี้อะโวคาโดยังมีสารอาหารที่สำคัญที่ร่างกายคุณแม่ต้องการเพิ่มมากขึ้นจากการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรด้วยอย่างเช่น วิตามินซี บี 6 และไฟเบอร์ ซึ่งปริมาณไฟเบอร์ที่สูงช่วยป้องกันอาการท้องผูกในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ได้อีกด้วย

6.บำรุงสายตา

ในอะโวคาโดมีสารอาหารมากมายและ 1 ในนั้นก็คือ ลูทีนและซีแซนทีน ที่เป็นไฟโตเคมิคอลที่อยู่ในเนื่อเยื่อตา ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันความเสียหายต่อตา และในอะโวคาโดยังมีกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ทำให้ดูดซึมสารต้านอนุมูลอิสระได้ดี ช่วยลดความเสี่ยงของจอประสาทเสื่อมอีกด้วย

7.อาจป้องกันมะเร็ง

มีการศึกษาที่บ่งบอกว่าการทานานอะโวคาโดช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งได้ เพราะในอะโวคาโดมีสารประกอบที่ป้องกันมะเร็งได้ (บางชนิด)
มีการวิจัยที่บออกว่าการทานอะโวคาโดที่มีสารโฟเลต ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน และ มะเร็งปากมดลูกได้ และอะโวคาโดที่มีไฟโตเคมิคอลและแคโรทีนอยด์ที่สูง อาจป้องกันมะเร็ง และกันไม่ให้มะเร็งลุกลามได้ อย่างไรก็ดีการศึกษาเหล่านี้ยังไม่ได้มีการศึกษาวิจัยกับมนุษย์ เป็นเพียงการวิจัยในหลอดทดลองเพียงเท่านั้น จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาและวิจัยเพิ่มเติมอีก

8.ลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า

มีการศึกษาโฟเลตที่อยู่ในอะโวคาโดพบว่า โฟเลตมีส่วนเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า เพราะโฟเลตช่วยป้องกันไม่ให้สารที่ชื่อว่าโฮโมซิสเทอีน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้การส่งอาหารไปยังสมองลดลง ซึ่งเชื่อมโยงกับสารโฮโมซิสเทอีนส่วนเกิน ที่ทำให้เกิดความผิดปกติของการรับรู้ และภาวะซึมเศร้า

9.ล้างพิษตามธรรมชาติได้

เนื่องจากในอะโวคาโดมีเส้นใย(ไฟเบอร์) ซึ่งเป็นตัวส่งเสริมให้ลำไส้ทำงานได้ดีเป็นปกติ ซึ่งจะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระได้
มีการศึกษาพบว่า เส้นใย(ไฟเบอร์) ช่วยส่งเสริมให้สุขภาพลำไส้ดีขึ้น และลดการอักเสบของทางเดินอาหารได้

10.บรรเทาข้อเข่าเสื่อม

ในอะโวคาโด และพืชอื่นๆที่มีสารชื่อว่า ซาโฟนิน มีส่วนช่วยให้ข้อเข่าเสื่อมและสะโพกดีขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ดี การวิจัยยังมีข้อมูลค่อนข้างน้อยอยู่ และยังไม่มีการยืนยันผลกระทบในระยะยาวของซาโปนินต่อข่อเข่าเสื่อมแต่อย่างใด

ประโยชน์ อโวคาโด น้ำมันอโวคาโด

น้ำมันอโวคาโด

อโวคาโดมีประโยชน์มาก นักวิจัยจึงนำผลสดไปทำการวิจัยและแปรรูปออกมาเป็น น้ำมันสกัดเย็น (Cold Press Oil) ที่มีคุณค่าสารอาหารสูงเหมาะสำหรับการใช้ลดน้ำหนัก เพิ่มปริมาณไขมันดี และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ใครสนใจสามารถศึกษา น้ำมันอะโวคาโด ต่อได้ที่นี่เลย คลิก

คอมเมนต์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บทความใกล้เคียง

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ