เทียบ 10 ประโยชน์ของงาดำ และ น้ำมันงาดำสกัดเย็น ต่างกันยังไง

เทียบ 10 ประโยชน์ของงาดำ และ น้ำมันงาดำสกัดเย็น ต่างกันยังไง-1

สารบัญเนื้อหา

สกัดเย็น และ สกัดร้อน คืออะไร ต่างกันยังไง ?

สกัด เย็น คือ อะไร

คือ การบดหรือกดเพื่อที่จะเอาน้ำมันออกมาโดยไม่ต้องใช้ความร้อน ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้ได้น้ำมันที่มีกรดค่อนข้างต่ำ สารอาหารยังอยู่ครบ และรสชาติจะยังคงอยู่

สกัด ร้อน คือ อะไร

คือ การสกัดโดยใช้ความร้อนสูงมากในการสกัด อาจจะถึง 200 องศาเลยทีเดียว และด้วยการสกัดด้วยความร้อนขนาดนี้จะทำให้สารอาหารต่างๆจะจางหายไป และจะได้รสชาติที่เปลี่ยนไป

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ การสกัดเย็นได้ที่บทความ สกัดเย็น และ สกัดร้อน คืออะไร ต่างกันยังไง ?

เทียบ 10 ประโยชน์ของงาดำ และ น้ำมันงาดำสกัดเย็น ต่างกันยังไง-1

เทียบ 10 ประโยชน์ของงาดำ และ น้ำมันงาดำสกัดเย็น ต่างกันยังไง

ถ้าพูดถึงงาดำ เราก็มักจะเห็นงาดำในรูปแบบต่างๆมากมาย ที่เห็นเยอะสุดน่าจะเป็นนมรสงาดำ ที่มีออกมาหลากหลายยี่ห้อ ประโยชน์ของงาดำนั้นหลากหลายมากๆ เพราะมีทั้งไฟเบอร์ และแคลเซียม และวิตามินอีกมากมาย ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย การกินงาดำในแต่ละรูปแบบนั้นจะได้ประโยยชน์แตกต่างกันออกไป เช่น การกินงาดำทั้งเมล็ด จะได้สารอาหารหลากหลายและมีไฟเบอร์เยอะ แต่การกินงาดำที่เป็นแบบน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นแบบน้ำมันงาดำสกัดเย็น หรือ งาดำในนม มักจะไม่มีสารอาหารบางอย่าง และไม่มีไฟเบอร์ เพราะว่าสารอาหารบางอย่างนั้นอยู่ในเปลือก การสกัดออกมาเลยทำให้สารอาหารหลายอย่างหายไป แต่ในข้อเสียนี้ก็มีข้อดี ที่ดีกว่า ถ้าอยากได้ประโยชน์จากงาดำเต็มๆ (ถ้าอยากรู้ว่ามีประโยชน์อะไรบ้าง ตามไปที่บทความ 9ประโยชน์ของน้ำมันงาดำสกัดเย็น) งาดำที่ถูกสกัดออกมาเป็นน้ำมันงาดำสกัดเย็น เมื่อกินเข้าไปจะทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำมันได้ง่ายกว่า และนำไปใช้ได้ไวกว่าแบบกินงาดำเป็นเมล็ดๆ ที่ต้องรอย่อยและที่สำคัญ งาดำ 1,000 กรัม เมื่อสกัดเย็นออกมาแล้วจะได้น้ำมันงาดำประมาณ 500 กรัม และงาดำก็ค่อนข้างที่จะมีกลิ่นเฉพาะ ที่บางคนอาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ การกินน้ำมันงาดำสกัดเย็น แคปซูลจึงเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่า เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ เราไปดูกันเลยดีกว่า

1.สารอาหาร

เมล็ดงา

มีวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายกว่าแต่ปริมาณน้อย แต่ไม่เข้มข้นเมล็ดงาดำเป็นแหล่งของโปรตีน, ไฟเบอร์, และวิตามินแร่ที่หลากหลาย ซึ่งมีแคลเซียม, แมกนีเซียม, และฟอสฟอรัสที่สูง ช่วยในการเสริมสร้างกระดูกที่แข็งแรง เมล็ดงาดำยังเป็นแหล่งของซิงค์ที่ดี ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง และยังมีลิกนันที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งและการอักเสบในร่างกาย

น้ำมันงาสกัดเย็น

สารอาหารไม่หลากหลาย แต่เข้มข้นกว่า น้ำมันงาดำสกัดเย็นมีความเข้มข้นของไขมันที่ดีเพิ่มขึ้นซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ด้วยการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลเลว) และส่งเสริมระดับคอเลสเตอรอล HDL (คอเลสเตอรอลดี) นอกจากนี้ น้ำมันงาดำสกัดเย็นยังมีวิตามิน E ที่สูง ซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์ที่มีความสำคัญในการป้องกันความเสื่อมของเซลล์ และสารฟิโตสเตอรอลที่มีสรรพคุณในการลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ รวมถึงมีสารลิกนันที่สามารถช่วยลดความดันโลหิตและความเสี่ยงของโรคหัวใจ น้ำมันงาดำสกัดเย็นจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพหัวใจและระบบเลือด พร้อมทั้งเพิ่มการป้องกันอนุมูลอิสระและรักษาสุขภาพของเซลล์และผิวพรรณ.

2.ปริมาณไฟเบอร์

เมล็ดงา

มีไฟเบอร์เยอะ, ช่วยขับถ่าย เมล็ดงาดำมีไฟเบอร์ที่สูงกว่าน้ำมันงาดำสกัดเย็น ซึ่งช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร, ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด, และเสริมสร้างสุขภาพของระบบทางเดินอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ดีมากขึ้น

น้ำมันงาสกัดเย็น

น้ำมันงาดำสกัดเย็นไม่มีไฟเบอร์เหมือนกับเมล็ดงาดำ เพราะในกระบวนการสกัดน้ำมัน ไฟเบอร์และบางส่วนของสารอาหารจะหายไประหว่างกระบวนการสกัด ดังนั้น, น้ำมันงาดำสกัดเย็นไม่สามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพระบบย่อยอาหารและควบคุมน้ำหนักได้เหมือนกับเมล็ดงาดำที่มีไฟเบอร์สูง.

3.ประสิทธิภาพต่อผิว

เมล็ดงา

ช่วยเล็กน้อย เมล็ดงาดำเหมือนกับ “ผักสด” เพราะยังมีไฟเบอร์, วิตามิน, แร่ธาตุ และอื่นๆ ที่เหลืออยู่ในเมล็ด นอกจากน้ำมันที่อยู่ในเมล็ดงาดำยังมีไฟเบอร์ ที่ส่งผลดีต่อการย่อยอาหาร ซึ่งเมื่อร่างกายย่อยอาหารได้ดี จะส่งผลดีต่อสภาพผิวตามไปด้วย

น้ำมันงาสกัดเย็น

ดีมาก, ช่วยให้ผิวนุ่ม น้ำมันงาดำสกัดเย็นนั้นเหมือนกับ “น้ำมันที่สกัดจากผักสด” เน้นไปที่สารอาหารที่เข้มข้นเช่น กรดไขมันออเมก้า-3 ที่สามารถซึมผ่านผิวเข้าไปได้โดยตรง ทำให้ผิวรับความชุ่มชื้น, ลดอักเสบ, และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของผิวได้ดีกว่า

4.ปริมาณการทาน

การนำเมล็ดงาดำไปสกัดเย็นอาจทำให้ได้น้ำมันงาดำเพียงครึ่งเดียวจากปริมาณงาดำทั้งหมดหรือน้อยกว่านนั้น  เช่น มีเมล็ดงาดำ 200 กรัม จะสกัดออกมาได้ประมาณแค่ 100 กรัม เท่านั้น

5.การเก็บรักษา

เมล็ดงา

ต้องเก็บให้ดี ไม่งั้นเสี่ยงเกิดเชื้อราได้ง่ายๆ

น้ำมันงาสกัดเย็น

เก็บได้นาน แค่วางกระปุกไว้ในที่อุณภูมิห้องก็สามารถเก็บได้เป็นปีแล้ว (ขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ)

6.ประสิทธิภาพต่อหัวใจ

เมล็ดงา

ดีต่อหัวใจนิดหน่อย เพราะว่าดูดซึมได้ยากกว่า และต้องกินปริมาณมากๆ

น้ำมันงาสกัดเย็น

ดีต่อหัวใจมากกว่า เพราะเป็นน้ำมัน ร่างกายจะดูดซึมน้ำมันได้ง่ายกว่า ที่จะต้องมาย่อยงาดำและดูดซึม

7.รสชาติ

เมล็ดงา

มีรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวที่อาจจะทานยากสำหรับหลายๆคน

น้ำมันงาสกัดเย็น

มีรสชาติอ่อนๆ หรือแทบจะไม่มีเลย จึงไม่ต้องกังวัลเรื่องรสชาติ

8.ความปลอดภัย

เมล็ดงา

การกินเมล็ดงาแบบค่อยกิน อาจทำให้ร่างกายปรับตัวได้ และดีต่อบางคนที่อาจมีอาการแพ้ เพราะถ้ากินเมล็ดงาไปแล้วเกิดอาการไม่พึงประสงค์ก็สามารถเลิกได้ทันที

น้ำมันงาสกัดเย็น

ปลอดภัยถ้าได้กินในปริมาณที่พอเหมาะ และควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก่อน เพราะในผลิตภัณฑ์น้ำมันงาดำสกัดเย็นบางชนิดมักจะมีปริมาณน้ำมันงาดำที่สูงเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อคนที่แพ้ และมีผลกับอาการเจ็บป่วยที่มีอยู่แล้ว เพราะได้รับปริมาณน้ำมันมากกว่าไป และบางแบรนด์อาจใช้กระบวนการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานจนเกิดการปนเปื้อน จำให้ขึ้นใจ ดีมากไป = ผลเสีย | ดีแบบพอดี = ดีจริง

9.ราคา:

เมล็ดงา

ราคาถูกกว่า เพราะไม่ได้ผ่านกระบวนการอะไร 

น้ำมันงาสกัดเย็น

ราคาแพง เพราะกระบวนการสกัดเย็นนั้น ต้องสกัดจากงาดำปริมาณที่มากกว่าเกือบ 50% เพื่อได้ให้ น้ำมันงาดำตามที่ต้องการ เช่น น้ำมันงาดำสกัดเย็น 500 มิลลิกรัม จะสกัดจากเมล็ดงาดำ 1,000 มิลลิกรัมหรือมากกว่า  เป็นต้น 

สรุป

จากบทความเทียบ 10 ประโยชน์ของงาดำ และ น้ำมันงาดำสกัดเย็น นั้น ถ้าจะให้เทียบง่ายๆเลย เหมือนงาดำ เป็นทุ่งดอกไม้ และน้ำมันงาดำเป็นน้ำหอมจากทุ่งดอกไม้ ถ้าเลือกใช้น้ำหอม คุณจะได้กลิ่นหอมที่เข้มข้นกว่า แต่จะไม่ได้ชมดอกไม้ ถ้าเลือกดอกไม้ คุณก็ต้องไปทุ่งดอกไม้ที่ใหญ่มาก เพื่อให้ได้กลิ่นเทียบเท่าน้ำหอม

สกัดเย็น และ สกัดร้อน คืออะไร ต่างกันยังไง ?

สกัด เย็น คือ อะไร

คือ การบดหรือกดเพื่อที่จะเอาน้ำมันออกมาโดยไม่ต้องใช้ความร้อน ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้ได้น้ำมันที่มีกรดค่อนข้างต่ำ สารอาหารยังอยู่ครบ และรสชาติจะยังคงอยู่

สกัด ร้อน คือ อะไร

คือ การสกัดโดยใช้ความร้อนสูงมากในการสกัด อาจจะถึง 200 องศาเลยทีเดียว และด้วยการสกัดด้วยความร้อนขนาดนี้จะทำให้สารอาหารต่างๆจะจางหายไป และจะได้รสชาติที่เปลี่ยนไป

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ การสกัดเย็นได้ที่บทความ สกัดเย็น และ สกัดร้อน คืออะไร ต่างกันยังไง ?

เทียบ 10 ประโยชน์ของงาดำ และ น้ำมันงาดำสกัดเย็น ต่างกันยังไง-1

เทียบ 10 ประโยชน์ของงาดำ และ น้ำมันงาดำสกัดเย็น ต่างกันยังไง

ถ้าพูดถึงงาดำ เราก็มักจะเห็นงาดำในรูปแบบต่างๆมากมาย ที่เห็นเยอะสุดน่าจะเป็นนมรสงาดำ ที่มีออกมาหลากหลายยี่ห้อ ประโยชน์ของงาดำนั้นหลากหลายมากๆ เพราะมีทั้งไฟเบอร์ และแคลเซียม และวิตามินอีกมากมาย ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย การกินงาดำในแต่ละรูปแบบนั้นจะได้ประโยยชน์แตกต่างกันออกไป เช่น การกินงาดำทั้งเมล็ด จะได้สารอาหารหลากหลายและมีไฟเบอร์เยอะ แต่การกินงาดำที่เป็นแบบน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นแบบน้ำมันงาดำสกัดเย็น หรือ งาดำในนม มักจะไม่มีสารอาหารบางอย่าง และไม่มีไฟเบอร์ เพราะว่าสารอาหารบางอย่างนั้นอยู่ในเปลือก การสกัดออกมาเลยทำให้สารอาหารหลายอย่างหายไป แต่ในข้อเสียนี้ก็มีข้อดี ที่ดีกว่า ถ้าอยากได้ประโยชน์จากงาดำเต็มๆ (ถ้าอยากรู้ว่ามีประโยชน์อะไรบ้าง ตามไปที่บทความ 9ประโยชน์ของน้ำมันงาดำสกัดเย็น) งาดำที่ถูกสกัดออกมาเป็นน้ำมันงาดำสกัดเย็น เมื่อกินเข้าไปจะทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำมันได้ง่ายกว่า และนำไปใช้ได้ไวกว่าแบบกินงาดำเป็นเมล็ดๆ ที่ต้องรอย่อยและที่สำคัญ งาดำ 1,000 กรัม เมื่อสกัดเย็นออกมาแล้วจะได้น้ำมันงาดำประมาณ 500 กรัม และงาดำก็ค่อนข้างที่จะมีกลิ่นเฉพาะ ที่บางคนอาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ การกินน้ำมันงาดำสกัดเย็น แคปซูลจึงเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่า เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ เราไปดูกันเลยดีกว่า

1.สารอาหาร

เมล็ดงา

มีวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายกว่าแต่ปริมาณน้อย แต่ไม่เข้มข้นเมล็ดงาดำเป็นแหล่งของโปรตีน, ไฟเบอร์, และวิตามินแร่ที่หลากหลาย ซึ่งมีแคลเซียม, แมกนีเซียม, และฟอสฟอรัสที่สูง ช่วยในการเสริมสร้างกระดูกที่แข็งแรง เมล็ดงาดำยังเป็นแหล่งของซิงค์ที่ดี ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง และยังมีลิกนันที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งและการอักเสบในร่างกาย

น้ำมันงาสกัดเย็น

สารอาหารไม่หลากหลาย แต่เข้มข้นกว่า น้ำมันงาดำสกัดเย็นมีความเข้มข้นของไขมันที่ดีเพิ่มขึ้นซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ด้วยการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลเลว) และส่งเสริมระดับคอเลสเตอรอล HDL (คอเลสเตอรอลดี) นอกจากนี้ น้ำมันงาดำสกัดเย็นยังมีวิตามิน E ที่สูง ซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์ที่มีความสำคัญในการป้องกันความเสื่อมของเซลล์ และสารฟิโตสเตอรอลที่มีสรรพคุณในการลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ รวมถึงมีสารลิกนันที่สามารถช่วยลดความดันโลหิตและความเสี่ยงของโรคหัวใจ น้ำมันงาดำสกัดเย็นจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพหัวใจและระบบเลือด พร้อมทั้งเพิ่มการป้องกันอนุมูลอิสระและรักษาสุขภาพของเซลล์และผิวพรรณ.

2.ปริมาณไฟเบอร์

เมล็ดงา

มีไฟเบอร์เยอะ, ช่วยขับถ่าย เมล็ดงาดำมีไฟเบอร์ที่สูงกว่าน้ำมันงาดำสกัดเย็น ซึ่งช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร, ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด, และเสริมสร้างสุขภาพของระบบทางเดินอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ดีมากขึ้น

น้ำมันงาสกัดเย็น

น้ำมันงาดำสกัดเย็นไม่มีไฟเบอร์เหมือนกับเมล็ดงาดำ เพราะในกระบวนการสกัดน้ำมัน ไฟเบอร์และบางส่วนของสารอาหารจะหายไประหว่างกระบวนการสกัด ดังนั้น, น้ำมันงาดำสกัดเย็นไม่สามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพระบบย่อยอาหารและควบคุมน้ำหนักได้เหมือนกับเมล็ดงาดำที่มีไฟเบอร์สูง.

3.ประสิทธิภาพต่อผิว

เมล็ดงา

ช่วยเล็กน้อย เมล็ดงาดำเหมือนกับ “ผักสด” เพราะยังมีไฟเบอร์, วิตามิน, แร่ธาตุ และอื่นๆ ที่เหลืออยู่ในเมล็ด นอกจากน้ำมันที่อยู่ในเมล็ดงาดำยังมีไฟเบอร์ ที่ส่งผลดีต่อการย่อยอาหาร ซึ่งเมื่อร่างกายย่อยอาหารได้ดี จะส่งผลดีต่อสภาพผิวตามไปด้วย

น้ำมันงาสกัดเย็น

ดีมาก, ช่วยให้ผิวนุ่ม น้ำมันงาดำสกัดเย็นนั้นเหมือนกับ “น้ำมันที่สกัดจากผักสด” เน้นไปที่สารอาหารที่เข้มข้นเช่น กรดไขมันออเมก้า-3 ที่สามารถซึมผ่านผิวเข้าไปได้โดยตรง ทำให้ผิวรับความชุ่มชื้น, ลดอักเสบ, และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของผิวได้ดีกว่า

4.ปริมาณการทาน

การนำเมล็ดงาดำไปสกัดเย็นอาจทำให้ได้น้ำมันงาดำเพียงครึ่งเดียวจากปริมาณงาดำทั้งหมดหรือน้อยกว่านนั้น  เช่น มีเมล็ดงาดำ 200 กรัม จะสกัดออกมาได้ประมาณแค่ 100 กรัม เท่านั้น

5.การเก็บรักษา

เมล็ดงา

ต้องเก็บให้ดี ไม่งั้นเสี่ยงเกิดเชื้อราได้ง่ายๆ

น้ำมันงาสกัดเย็น

เก็บได้นาน แค่วางกระปุกไว้ในที่อุณภูมิห้องก็สามารถเก็บได้เป็นปีแล้ว (ขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ)

6.ประสิทธิภาพต่อหัวใจ

เมล็ดงา

ดีต่อหัวใจนิดหน่อย เพราะว่าดูดซึมได้ยากกว่า และต้องกินปริมาณมากๆ

น้ำมันงาสกัดเย็น

ดีต่อหัวใจมากกว่า เพราะเป็นน้ำมัน ร่างกายจะดูดซึมน้ำมันได้ง่ายกว่า ที่จะต้องมาย่อยงาดำและดูดซึม

7.รสชาติ

เมล็ดงา

มีรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวที่อาจจะทานยากสำหรับหลายๆคน

น้ำมันงาสกัดเย็น

มีรสชาติอ่อนๆ หรือแทบจะไม่มีเลย จึงไม่ต้องกังวัลเรื่องรสชาติ

8.ความปลอดภัย

เมล็ดงา

การกินเมล็ดงาแบบค่อยกิน อาจทำให้ร่างกายปรับตัวได้ และดีต่อบางคนที่อาจมีอาการแพ้ เพราะถ้ากินเมล็ดงาไปแล้วเกิดอาการไม่พึงประสงค์ก็สามารถเลิกได้ทันที

น้ำมันงาสกัดเย็น

ปลอดภัยถ้าได้กินในปริมาณที่พอเหมาะ และควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก่อน เพราะในผลิตภัณฑ์น้ำมันงาดำสกัดเย็นบางชนิดมักจะมีปริมาณน้ำมันงาดำที่สูงเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อคนที่แพ้ และมีผลกับอาการเจ็บป่วยที่มีอยู่แล้ว เพราะได้รับปริมาณน้ำมันมากกว่าไป และบางแบรนด์อาจใช้กระบวนการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานจนเกิดการปนเปื้อน จำให้ขึ้นใจ ดีมากไป = ผลเสีย | ดีแบบพอดี = ดีจริง

9.ราคา:

เมล็ดงา

ราคาถูกกว่า เพราะไม่ได้ผ่านกระบวนการอะไร 

น้ำมันงาสกัดเย็น

ราคาแพง เพราะกระบวนการสกัดเย็นนั้น ต้องสกัดจากงาดำปริมาณที่มากกว่าเกือบ 50% เพื่อได้ให้ น้ำมันงาดำตามที่ต้องการ เช่น น้ำมันงาดำสกัดเย็น 500 มิลลิกรัม จะสกัดจากเมล็ดงาดำ 1,000 มิลลิกรัมหรือมากกว่า  เป็นต้น 

สรุป

จากบทความเทียบ 10 ประโยชน์ของงาดำ และ น้ำมันงาดำสกัดเย็น นั้น ถ้าจะให้เทียบง่ายๆเลย เหมือนงาดำ เป็นทุ่งดอกไม้ และน้ำมันงาดำเป็นน้ำหอมจากทุ่งดอกไม้ ถ้าเลือกใช้น้ำหอม คุณจะได้กลิ่นหอมที่เข้มข้นกว่า แต่จะไม่ได้ชมดอกไม้ ถ้าเลือกดอกไม้ คุณก็ต้องไปทุ่งดอกไม้ที่ใหญ่มาก เพื่อให้ได้กลิ่นเทียบเท่าน้ำหอม

คอมเมนต์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บทความใกล้เคียง

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ