อะโวคาโด กินตอนไหนดีที่สุด
อะโวคาโดจะได้ประโยชน์สูงสุด ถ้าทานเมื่อสุกแล้ว อะโวคาโด กินตอนไหนดีที่สุดนั้น แนะนำเป็นตอนเช้าจะดีที่สุด เวลาอื่นก็สามารถทานได้ แต่เนื่องจากอะโวคาโดทำให้อิ่มนาน การทานตอนเช้า เลยจะทำให้มื้อต่อๆไปทานได้น้อยลง จึงแนะนำให้ทานตอนเช้าจะดีที่สุด
ประโยชน์ อะโวคาโด สุดยอดผลไม้สำหรับสายสุขภาพ
อโวคาโด จัดว่าเป็นสุดยอดอาหาร หรือ Super Food ที่นักโภชนาการให้การยอมรับกันไปทั่วโลก เนื่องจากประโยชน์ อะโวคาโดนั้นมีหลากหลายเป็นที่นิยมของคนรักสุขภาพ เรียกได้ว่าใครเป็นสายสุขภาพที่นิยมกินคลีนจะต้องมีติดบ้านกันแทบทุกคน แต่สำหรับคนทั่วไปมักไม่ค่อยนิยมทานกันนัก เนื่องจากอโวคาโดมีราคาที่ค่อนข้างสูง ไม่ใช่ผลไม้พื้นเมือง และมีรสชาติที่ไม่ถูกปากคนส่วนใหญ่นัก บทความนี้จึงอยากชักชวนให้ใครหลายๆคนได้ลิ้มลอง อะโวคา อาจจะติดใจในรสชาติมันๆหอมๆก็ได้ บมาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
1.ดีต่อลำไส้
เนื่องจากอะโวคาโดนั้นมีเส้นใย(ไฟเบอร์)ที่ค่อนข้างสูงถึง 14 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ค่อนข้างสูงพอสมควร และเมื่อร่างกายได้รับเส้นใย(ไฟเบอร์)เพียงพอ ระบบย่อยอาหารของคุณก็จะดีขึ้น และเมื่อร่างกายสามารถย่อยอาหารได้ดีขึ้นก็จะทำให้ร่างกายดีขึ้นตามไปด้วย และที่สำคัญคือ เมื่อระบบย่อยอาหารดีขึ้น ก็จะทำให้น้ำหนักลดง่ายขึ้นนั่นเอง
มีการศึกษาเกี่ยวกับการลดน้ำหนักด้วยอะโวคาโดจากผู้ทดลองที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน 163 คน โดยทุกคนเป็นผู้ใหญ่หมดแล้ว โดยจะแบ่งเป็นผู้ชาย กับผู้หญิง โดยผู้ชายจะให้กินอะโวคาโด 175 กรัม และผู้หญิงจะให้กินอะโวคาโด 140 กรัม การทดลองใช้เวลาทั้งหมด 12 สัปดาห์ ผลจากการทดลองในผู้ใหญ่ 163 ปรากฏว่า พบความเข้มข้นของกรดน้ำดีลดลง ซึ่งความเข้มข้นของกรดน้ำดีนี้จะเป็นการทำให้ลำไส้อักเสบ และเป็นตัวทำให้จุลินทรีย์ที่ไม่ดีต่อลำไส้เจริญเติบโตได้ดีขึ้น การที่อะโวคาโดทำให้ความเข้มข้นของกรดน้ำดีต่ำลง ทำให้ลำไส้ใหญ่มีสุขภาพดีขึ้นได้
นอกจากนี้ยังพบว่าอะโวคาโดยังแบคทีเรียที่ช่วยทำให้ลำไส้ใหญ่ดีขึ้นและปกป้องลำไส้ใหญ่จากโรคต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวารหนัก และลำไส้อักเสบ เป็นต้น
2.ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
1 ในประโยชน์ อะโวคาโดที่มีชื่อเสียงมากๆคือ ตัวช่วยเรื่องหัวใจ เพราะสารอาหารต่างๆที่อยู่ในอะโวคาโดล้วนแล้วแต่เป็นสารอาหารที่ดีต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ดี
มีการศึกษาจำนวนมากเกี่ยวกับการใช้อะโวคาโดช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ผลปรากฏว่า อะโวคาโด ช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอล แต่เป็นคอเลสเตอรอลชื่อ HDL (ไขมันดี) และยังลดระดับของคอเลสเตอรอล LDL (ไขมันเลว) อีกด้วย ซึ่งการเพิ่มไขมันดี ลดไขมันเลวนี้ ส่งผลดีต่อหลอดเลือด เพราะเจ้าไขมันดี(HDL)จะทำหน้าที่ไปจับกุมเจ้าตัวไขมันเลว(LDL)ตามลำไส้ เพื่อนำไปทำลายที่ตับ ยิ่งไขมันดีกับไขมันเลวสมดุล หรือไขมันดีมากกว่า ก็จะยิ่งทำให้หลอดเลือดทำงานได้ที่เท่านั้น นอกจากนี้แล้ว อะวคาโดยังมีปริมาณโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ค่อนข้างสูง ซึ่งปริมาณของโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่สูงนี้จะช่วยให้ความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้ อะโวคาโดเลยเป็นตัวช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อบ่างดีเยี่ยม
3.ต้านการอักเสบ
อะโวคาโดที่เต็มไปด้วยสารอาหารมากมายและมีกลุ่มสารอาหารเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหลายอย่างอีกด้วย เช่น แคโรทีนอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดี ในการรักษาโรคเรื้อรังหลายๆชนิด
มีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้อะโวคาโดต้านการอักเสบในผู้เข้าร่วม 45 คน พบว่า การทานอะโวคาโดเป็นประจำในทุกๆวัน ช่วยเพิ่มระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้สมองและหัวใจมีสุขภาพที่ดีขึ้น
4.ลดน้ำหนัก
ประโยชน์ อะโวคาโดเป็นผลไม้อันดับต้นๆที่คนมักจะทานเพื่อลดน้ำหนัก ถึงแม้ว่าอะโวคาโดจะมีแคลอรีที่ค่อนข้างจะสูง แต่แคลอรีเหล่านั้นก็เป็นแคลอรีที่ดีต่อสุขภาพ และอะโวคาโดยังเต็มไปด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการแถมยังเต็มไปด้วยไฟเบอร์อีก ซึ่งรวมๆแล้วทั้งดีต่อสุขภาพและการลดน้ำหนัก
การศึกษาเกี่ยวกับการลดน้ำหนักด้วยอาหารที่มีไฟเบอร์จากผู้เข้าร่วมทดสอบ 345 คน คน พบว่า ไฟเบอร์มีส่วนอย่างมากที่ทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้
และยังมีการศึกษาอีกจำนวนนึง ในการใช้อะโวคาโดลดน้ำหนัก พบว่าการทานอะโวคาโดช่วยให้อิ่มไวขึ้นและทำให้ไขมันหน้าท้องลดลงได้จริงๆอีกด้วย
5.ดีต่อแม่ที่ตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร
เนื่องจากคุณแม่ที่กำลังอุ้มท้องหรือให้นมบุตรนั้นต้องการสารอาหารค่อนข้างที่จะเยอะมาก เพราะต้องบำรุงทั้งตัวเองและก็ลูกในครรภ์ จึงจำเป็นต้องได้รับสารอาหารมากเป็นพิเศษ และที่สำคัญในอะโวคาโดมีโฟเลตถึง 27% ซึ่งโฟเลตเป็น 1 ในสารอาหารที่จำเป็นขณะตั้งครรภ์ และปริมาณโฟเลตในอะโวคาโดเป็นปริมาณที่แนะนำพอดีอีกด้วย นอกจากนี้อะโวคาโดยังมีสารอาหารที่สำคัญที่ร่างกายคุณแม่ต้องการเพิ่มมากขึ้นจากการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรด้วยอย่างเช่น วิตามินซี บี 6 และไฟเบอร์ ซึ่งปริมาณไฟเบอร์ที่สูงช่วยป้องกันอาการท้องผูกในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ได้อีกด้วย
6.บำรุงสายตา
ในอะโวคาโดมีสารอาหารมากมายและ 1 ในนั้นก็คือ ลูทีนและซีแซนทีน ที่เป็นไฟโตเคมิคอลที่อยู่ในเนื่อเยื่อตา ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันความเสียหายต่อตา และในอะโวคาโดยังมีกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ทำให้ดูดซึมสารต้านอนุมูลอิสระได้ดี ช่วยลดความเสี่ยงของจอประสาทเสื่อมอีกด้วย
7.อาจป้องกันมะเร็ง
มีการศึกษาที่บ่งบอกว่าการทานานอะโวคาโดช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งได้ เพราะในอะโวคาโดมีสารประกอบที่ป้องกันมะเร็งได้ (บางชนิด)
มีการวิจัยที่บออกว่าการทานอะโวคาโดที่มีสารโฟเลต ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน และ มะเร็งปากมดลูกได้ และอะโวคาโดที่มีไฟโตเคมิคอลและแคโรทีนอยด์ที่สูง อาจป้องกันมะเร็ง และกันไม่ให้มะเร็งลุกลามได้ อย่างไรก็ดีการศึกษาเหล่านี้ยังไม่ได้มีการศึกษาวิจัยกับมนุษย์ เป็นเพียงการวิจัยในหลอดทดลองเพียงเท่านั้น จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาและวิจัยเพิ่มเติมอีก
8.ลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า
มีการศึกษาโฟเลตที่อยู่ในอะโวคาโดพบว่า โฟเลตมีส่วนเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า เพราะโฟเลตช่วยป้องกันไม่ให้สารที่ชื่อว่าโฮโมซิสเทอีน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้การส่งอาหารไปยังสมองลดลง ซึ่งเชื่อมโยงกับสารโฮโมซิสเทอีนส่วนเกิน ที่ทำให้เกิดความผิดปกติของการรับรู้ และภาวะซึมเศร้า
9.ล้างพิษตามธรรมชาติได้
เนื่องจากในอะโวคาโดมีเส้นใย(ไฟเบอร์) ซึ่งเป็นตัวส่งเสริมให้ลำไส้ทำงานได้ดีเป็นปกติ ซึ่งจะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระได้
มีการศึกษาพบว่า เส้นใย(ไฟเบอร์) ช่วยส่งเสริมให้สุขภาพลำไส้ดีขึ้น และลดการอักเสบของทางเดินอาหารได้
10.บรรเทาข้อเข่าเสื่อม
ในอะโวคาโด และพืชอื่นๆที่มีสารชื่อว่า ซาโฟนิน มีส่วนช่วยให้ข้อเข่าเสื่อมและสะโพกดีขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ดี การวิจัยยังมีข้อมูลค่อนข้างน้อยอยู่ และยังไม่มีการยืนยันผลกระทบในระยะยาวของซาโปนินต่อข่อเข่าเสื่อมแต่อย่างใด
น้ำมันอโวคาโด
อโวคาโดมีประโยชน์มาก นักวิจัยจึงนำผลสดไปทำการวิจัยและแปรรูปออกมาเป็น น้ำมันสกัดเย็น (Cold Press Oil) ที่มีคุณค่าสารอาหารสูงเหมาะสำหรับการใช้ลดน้ำหนัก เพิ่มปริมาณไขมันดี และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ใครสนใจสามารถศึกษา น้ำมันอะโวคาโด ต่อได้ที่นี่เลย คลิก