ไขมัน หรือ คอเลสเตอรอล คืออะไร
คอลเลสเตอรอลหรือไขมัน มี 2 ชนิด ไขมันดี (HDL) และไขมันเลว (LDL) ซึ่งแต่ละตัวทำหน้าที่ต่างกัน ส่วนใหญ่แล้วไขมันมักจะพบในเซลล์ทั้งหมดของร่างกายคนเรา และร่างกายของคนเราก็ต้องการไขมันเพื่อสร้าง ฮอร์โมน,วิตามินดี และช่วยให้ย่อยอาหารได้ แต่ถ้าหากร่างกายมีไขมันเลว (LDL) มากจนเกินไป ไขมันเลว (LDL) เหล่านั้นจะไปรวมตัวกับสารอื่นๆในเลือด และกลายเป็นคราบจุลินทรีย์เกาะตามหลอดเลือด เรื่อยๆ จนนำไปสู่โรคหลอดเลือดในหัวใจ และไปเกาะที่ตับ ทำให้เกิดเป็นไขมันเกาะตับหรือไขมันพอกตับนั่นเอง อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับไขมันดี ไขมันเลว
ไขมันเกาะตับ สาเหตุเกิดจากอะไร
ส่วนใหญ่แล้วไขมันเกาะตับ สาเหตุเกิดจากปริมาณน้ำตาลในร่างกายมีมากเกินความต้องการ จนตับนำน้ำตาลส่วนเกินไปสร้างเป็นไขมัน ซึ่งไขมันนี้จะอยู่ในรูปแบบ ไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride ) ซึ่งเมื่อน้ำตาลในร่างกายมากเกินความต้องการอย่างต่อเนื่อง ตับก็จะยิ่งเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกิน ไปเป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์ จนไขมันเกาะหรือพอกตับ(Fatty Liver Disease)ไปเรื่อยๆ และเมื่อไขมันในร่างกายเยอะเกินไปจนตับไม่สามารถกำจัดได้ทัน ก็จะเกิดการสะสมขึ้นเรื่อยๆจนไขมันเกาะตับ หรือภาวะไขมันพอกตับ และส่วนใหญ่คนที่เป็นไขมันเกาะตับจะเป็นคนเหล่านี้
- โรคอ้วน
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2
- มีความผิดปกติของอินซูลิน
- ไตรกลีเซอไรด์สูง
- ดื่มแอลกอฮอล์
- ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
- ขาดสารอาหาร
- ต่อมไทรอยด์มีปัญหา
- คอเลสเตอรอลสูง
- อายุมากกว่า 50 ปี
- สูดดมควันมากเกินไป
ไขมันพอกตับ อาการเป็นยังไง
โดยส่วนใหญ่แล้วไขมันพอกตับ อาการจะไม่ค่อยมีเท่าไหร่นัก คนที่รู้มักจะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพและได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ซะส่วนใหหญ่ แต่เมื่อคุณไม่ได้ตรวจสุขภาพและไขมันนได้พอกตับไปเยอะแล้ว หลายปี อาการก็จะแย่ลงเรื่อยๆ และจะเริ่มแสดงอาการต่อไปนี้ตามมา
- เหนื่อยมาก
- ไม่มีแรง
- ปวดเมื่อยด้านขวาบนท้อง (ล่างขวาซี่โครง)
- น้ำหนักลด โดยไม่ทราบสาเหตุ
และหากพัฒนาไปเป็นโรคตับแข็ง อาจจะเจออาการเหล่านี้ด้วย
- ผิวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
- ตาขาว
- คันตามผิวหนัง
- บวมที่ขา เท้า ข้อเท้า หรือ
- หน้าท้อง
- หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ในทันที
ระยะของไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับจะแบ่งได้ 4 ระยะดังนี้
- ระยะที่ 1 เกิดการสะสมของไขมันทที่ตตับ แต่ยังไม่ส่งผลใดๆ
- ระยะที่ 2 ตับจะเริ่มอักเสบ และถ้ายังปล่อยไว้เกิน 6 เดือน จะพัฒนาไปเป็นตับออักเสบเรื้อรัง
- ระยะที่ 3 เกิดผังผืดถาวรเนื่องจากการอักเสบเรื้อรัง และตับจะเริ่มถูกทำลายจากผักผืด
- ระยะที่ 4 ระยะที่รุนแรงที่สุด ตับถูกทำลายไปเยอะ มีการหดตัว เริ่มทำงานผิดปกติ และเสี่ยงที่จะตับแข็ง มะเร็งตับ หรือไตวาย และถึงแม้ว่าจะไม่เป็นโรคตรายอาการเหล่านี้ก็จจะอยู่ถาวร แม้ได้รับการรักษา
ไขมันพอกตับ หายได้ไหม
ไขมันเกาะตับ สาเหตุเกิดได้หลายแบบ และไขมันพอกตับทำได้เพียงรักษาด้วยการควบคุมอาการไม่ให้ไขมันในตับเพิ่มขึ้น และทำให้ไขมันในตับลดลง แต่ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือ การกิน ไขมันก็จะกลับไปพอกตับอีกครั้ง และถ้าไม่ดูแลรักษา ไขมันพอกตับอาจพัฒนาไปเป็นโรคตับแข็งได้
ไขมันพอกตับ ป้องกันยังไงได้บ้าง ?
- ลดน้ำหนัก
- กินอาหารเพื่อสุขภาพ
- ดื่มน้ำเปล่า แทน น้ำหวาน หรือ เลือกเครื่องดื่มที่ใช้น้ำตาลเทียมแทน
ออกกำลังกาย - หยุดสูบบุหรี่
- เลิกดื่มแอลกอฮอล์
ไขมันพอกตับ รักษายังไงได้บ้าง ?
ไขมันเกาะตับ สาเหตุคนส่วนใหญ่ถูกตรวจเจอและรีบรักษาตัวเองก่อนที่ไขมันพอกตับจะพัฒนาไปเป็นโรคร้ายแรงอื่นๆเช่น ตับแข็ง ฉนั้นถ้าให้ดีควรตรวจสุขภาพปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อที่จะรับมือกับโรคร้ายต่างๆที่อาจจะเกิดกับตัวคุณเอง และถ้าคุณถูกตรวจเจอว่าไขมันพอกตับ หมอก็จะให้ยาเพื่อมารักษา แต่ถ้าไม่สามารถรักษาได้แล้วจริงๆ อาจจะต้องถึงขั้นการปลูกถ่ายตับ และเนื่องจากตับสามารถงอกใหม่ได้เอง ทั้งคนที่ได้รับการปลูกถ่ายและส่วนที่เหลืออยู่ของผู้บริจาค และการงอกใหม่ก็สามารถงอกใหม่ได้เท่าขนาดปกติ แต่รูปร่างอาจจะไม่เหมือนเดิม 100% และการงอกใหม่ก็ต้องมีกระบวนการทางการแพทย์ช่วยอีกด้วย
ไขมันพอกตับ ควรกินอะไร
ข่าวดีสำหรับคนที่กลัวไขมันเกาะตับหรือภาวะไขมันพอกตับคือ แค่เปลี่ยนการกิน เน้นไปที่ไขมันดี (HDL) แทนไขมันเลว (LDL) เพื่อให้ตับสามารถกำจัดไขมันเลว (LDL) ในร่างกายได้ทันก่อนที่จะสะสมจนพอกตับ หรือเพิ่มอาหารเหล่านี้ลงไปในอาหาร ก็จะสามารถช่วยลดไขมันในตับได้แล้ว
- ปลา
- น้ำมันปลา
- ชา
- ไวน์แดง
- ผลไม้
- ธัญพืชไม่ขัดสี
- ถั่ว
- ผัก
- อะโวคาโด
- น้ำมันมะกอก
- น้ำมันคาโนลา
- กาแฟ
- เบอร์รี่
- อัลมอนด์
- เมล็ดทานตะวัน
- นมไขมันต่ำ
- วิตามินอี จากแดด
- ปลาแซลมอน
- บรอกโคลี่
- กล้วย
- กีวี
- โยเกิร์ตไขมันต่ำ
- ข้าวสาลี
- กุ้ง
ไขมันพอกตับ ห้ามกินอะไร
- สัตว์ปีก (ยกเว้นเนื้อขาวที่ไม่ติดมัน)
- โยเกิร์ต (ยกเว้นไขมันต่ำ)
- ชีส
- เนื้อแดง
- ขนมอบ
- อาหารทอด โดยเฉพาะจากน้ำมันปาร์มหรือน้ำมันมะพร้าว
- ลูกอม
- อาหารที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง
- แอลกอฮอล์
สมุนไพรบำรุงตับ
สมุนไพร เป็นอีก 1 ทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการบำรุงตับให้แข็งแรงทำให้สุขภาพตับดีขึ้น แต่ให้ระวังการใช้สมุนไพรบำรุงตับ ถ้าเกิดใช้ในปริมาณที่เยอะเกินไปอาจเป็นพิษต่อตับแทนการบำรุงได้ และในความเป็นจริง สมุนไพรบางตัว อาจสร้างความเสียต่อตับของคุณแทนที่จะเป็นการบำรุงอีกด้วย และสมุนไพรบางชนิดอาจตอบโต้กับยาบางตัวที่ได้รับจากแพทย์ ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งการบาดเจ็บที่ตับอย่างร้ายแรง ร้ายแรงที่สุดถึงขึ้นเสียชีวิตเลยก็มี การจะเลือกใช้สมุนไพรดังต่อไปนี้ก็ควรหาข้อมูลปริมาณที่พอเหมาะในแต่ละวันก่อนเลือกใช้ หรือปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเลือกใช้สมุนไพรบางชนิด จะดีที่สุด
- โสม
- ชาเขียว
- ชะเอม
- ขมิ้นชัน
- กระเทียม
- ขิง
- แปะก๊วย